แสนสิริ ชู “Tomorrow is Unfolded” หวังกวาดยอดขาย 4.5 หมื่นล้าน
ในปี 2561 บริษัทอสังหาริมทรัพย์หลายแห่ง ต่างมองไปในทิศทางเดียวกัน ว่า GDP ของประเทศไทย มีโอกาสได้เห็นตัวเลขการเติบโตที่ 4 แน่ๆ จากหลายปัจจัยเกื้อหนุน ไม่ว่าจะเป็นการส่งออกเติบโตถึง 5% กับการลงทุนของภาครัฐในระบบต่างๆที่เริ่มเห็นเป็นรูปประธรรมมากขึ้น อีกทั้งโครงการ ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC เรียกความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลกที่จะย้ายสายการผลิตมาประเทศไทยปัจจัยเหล่านี้ทำให้บริษัทอสังหาริมทรัพย์ปล่อยหมัดเด็ดแถลงข่าวการลงทุนเพิ่มและวางเป้าหมายขึ้นจากปีที่แล้วเป็นเท่าตัว
แสนสิริ ก็เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่ออกมาประกาศเป้ายอดขาย 45,000 ล้านบาท เผยแผนรุกธุรกิจครั้งสำคัญปี2561ก้าวแกร่งสู่โรดแมพการดำเนินธุรกิจ “Tomorrow is Unfolded” ภายใต้ 7 กุญแจสำคัญ ได้แก่ รุกกว้างตลาดต่างชาติ – ผนึกกำลังพันธมิตรชั้นนำทั้งไทยและระดับโลก – ลุยตลาดทาวน์เฮาส์ – เปิดตัว Condo รูปแบบใหม่และที่ขาดไม่ได้ในยุคไทยแลนด์ 4.0 คือการพัฒนา Digital Transformation ในทุกด้านต่อยอดความสำเร็จ – เดินหน้าขับเคลื่อนองค์กรด้วยวิธีการทำงานแบบ Agile เพื่อการเติบโตแบบก้าวกระโดด และมุ่งผลักดันวิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืนให้เกิดขึ้นจริงในทุกมิติ
โดยปีนี้จะเปิดตัวใหม่ 31 โครงการ รวมมูลค่า 63,200 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 12 โครงการ รวมมูลค่า 33,500 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 53% บ้านเดี่ยว 8 โครงการมูลค่ารวม 20,100 ล้านบาท คิดเป็น 32% และทาวน์เฮาส์ 11 โครงการ รวมมูลค่า 9,600 ล้านบาท คิดเป็น 15% ซึ่งปีนี้จะทำการการรุกตลาดทาวน์เฮาส์มากขึ้น ทั้งในกรุงเทพฯและปริมณฑลในราคา 1 ล้านปลายๆถึง 3 ล้านบาทขึ้นไป ทั้งนี้ในกลุ่มโครงการที่อยู่อาศัย จะมีโครงการใหม่จากการลงทุนร่วมกับบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จํากัด (มหาชน)หรือ BTS และโตคิว กรุ๊ป อีกประมาณ 4-6 โครงการ มีมูลค่ารวมประมาณ 12,000-19,000 ล้านบาท
นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ความสำเร็จที่สำคัญในปีที่ผ่านมา การเปิดตัวโครงการทั้งสิ้น 14 โครงการรวมมูลค่า 37,200 ล้านบาท และทำยอดพรีเซลล์สูงถึง 38,600 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 24% จากปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงการตอบรับที่ดีเยี่ยมจากการทำการตลาดครอบคลุมทุกเซ็กเม้นต์ รวมทั้งยังประสบความสำเร็จจากการขยายฐานลูกค้าได้อย่างครอบคลุมทั้งกรุงเทพฯและต่างจังหวัด การขยายตลาดทั้งในกลุ่มลูกค้าไทยและกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่แสนสิริทำยอดขายตลาดต่างชาติในปี 2560 ได้ถึง 9,300 ล้านบาท เกินจากเป้ายอดขายที่วางไว้ 7,500 ล้านบาท และเติบโตขึ้นถึง 72% เมื่อเทียบจากปี 2559 นอกจากนี้ การทยอยเปิดโครงการใหม่ตลอดทั้งปียังทำให้ แสนสิริมีรายได้กระจายต่อเนื่องตลอดทั้งปี สร้างความแข็งแกร่งทางด้านการเงินเป็นอย่างมากอีกด้วย
ในปี2561 แสนสิริวางแผนเดินเกมส์รุกเพิ่มตลาดต่างชาติเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดและรักษาความเป็นที่หนึ่งในตลาดต่างประเทศ โดยมีการตั้งเป้ายอดขายเพิ่มขึ้นถึง 40% จากปี 2560 เป็น 13,000 ล้านบาท เพื่อรองรับแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและเอเชีย โดยล่าสุดในช่วงต้นปีที่ผ่านมาบริษัทได้เปิดออฟฟิศในต่างประเทศเพิ่มขึ้นแห่งที่ 6 ที่ฮ่องกง รวมทั้งกำลังมองความเป็นไปได้ที่จะขยายสู่ตลาดอื่นๆ เช่น เกาหลี ไต้หวัน และสร้างฐานที่แข็งแกร่งมากขึ้นในญี่ปุ่น
สานต่อกลยุทธ์การเติบโตอย่างก้าวกระโดดด้วยการเป็นพันธมิตรกับบริษัทชั้นนำทั้งไทยและต่างประเทศ สำหรับกลุ่มโครงการที่อยู่อาศัย จะมีโครงการใหม่จากการลงทุนร่วมกับบีทีเอสและโตคิว กรุ๊ป อีกประมาณ 4-6 โครงการ มีมูลค่ารวมประมาณ 12,000-19,000 ล้านบาท รวมทั้งยังมีแผนเปิดโครงการที่พักอาศัย The Standard Residence และ Monocle Residenceเป็นครั้งแรกของโลก ส่วนในกลุ่มธุรกิจใหม่ๆ JustCo บริษัทได้เตรียมเปิด 4 สาขา โดยจะเปิด 2 สาขาแรกที่อาคาร AIA Sathorn ในเดือนพฤษภาคม และอาคาร All Seasons Place ในเดือนสิงหาคม โดยเล็งมอบสิทธิพิเศษให้ลูกบ้านแสนสิริเข้าใช้บริการ ส่วน Hostmaker จะเข้ามาช่วยบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ให้แก่ลูกบ้านและสร้างเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดต่างประเทศ
เดินหน้าลุยตลาดทาวน์เฮ้าส์อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน สอดรับกับเทรนด์คนรุ่นใหม่ที่มีแนวโน้มซื้อโครงการทาวน์เฮ้าส์มากขึ้นประกอบกับความต้องการของทาวน์เฮ้าส์ในตลาดนั้นสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยในปีนี้แสนสิริจะเปิดตัวโครงการทาวน์เฮ้าส์ใหม่ทั้งหมด 11 โครงการ รวมมูลค่า 9,600 ล้านบาทในระดับราคา 1ล้านจนถึง3ล้าน
สร้างความแตกต่างด้วยดีไซน์ ด้วยการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมเซ็กเม้นต์ใหม่จำนวน 4 โครงการ ที่มีดีไซน์เฉพาะตัวออกแบบมาเพื่อรองรับความต้องการและไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะ 1แบบ1โครงการ นอกจากนี้ยังมีการสร้าง Lab Room และ Lab House ที่เราเรียกเป็นการภายในว่า Haus 2025 สำหรับการทดสอบห้องและบ้านเพื่ออนาคต โดยรวมถึงการทดสอบนวัตกรรมและเทคโนโลยี
Digital Transformation Chapter 2 มุ่งพัฒนาเทคโนโลยีและมองหานวัตกรรมที่นำมาต่อยอดได้สำหรับลูกค้าทุกกลุ่มมุ่งลงทุนต่อยอดโดยมีสิริเวนเจอร์สเป็นหน่วยงานหลัก ด้วยแผนลงทุนระยะยาว 3 ปี งบประมาณทั้งสิ้น 1,500 ล้านบาท นำเทคโนโลยีสุดล้ำอย่าง AI, IoT, Wearable และ Robot มาใช้สร้างนวัตกรรมเพื่อการใช้ชีวิตที่สะดวกขึ้นสำหรับลูกบ้านแสนสิริ และการปรับการทำงานขอองค์กรให้มีความกระชับรวดเร้วทันสมัย ความคล่องตัวเข้ากับยุคดิจิทัล