LPN ส่งสัญญาณคอนโดฯล้น เน้นตลาดแนวราบ

1,070
เดอะ ซีเล็คเต็ด เกษตร-งามวงศ์วาน

LPN ส่งสัญญาณคอนโดฯล้น แบงก์คุมเข้มสินเชื่อรายย่อย ขยับหนีความเสียง ขยายฐานลงทุนโครงการแนวราบเพิ่ม คาดรายได้สิ้นปี 12,000 ล้านส่วนปี 62 ตั้งเป้ารายได้ 14,000 ล้าน ขณะที่แบ็กล็อกมีกว่า 4,800 ล้านบาท ชี้ภาพรวม สถานการณ์ที่อยู่อาศัยปี 62 มีสัญญาณบวก หลังภาพการเลือกตั้งชัดเจน

นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN)

นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทแอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สถานการณ์ที่อยู่อาศัยภาพรวม อยู่ในสภาวะล้นตลาด โดยเฉพาะระดับราคา 3 ล้านบาทขึ้นไป ผนวกกับสถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อรายย่อย ส่งผลให้ยอดขายโดยรวมชะลอ”

“ภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมในปี 2561 นี้ไม่ดีนัก โดยเฉพาะไตรมาสที่ 3 นี้ยอดขายและยอดโอนในตลาดรวมมีการปรับตัวลดลงกว่า 20% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว”

โดยปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ตลาด ในปีนี้ปรับตัวลดลงคือ การเพิ่มขึ้นของยูนิตใหม่ที่มีจำนวนมาก โดยเฉพาะคอนโดระดับราคา 3 ล้านบาท ทำให้เกิดปัญหาโอเวอร์ซับพลายในทุกทำเล ส่วนตลาดระดับบนยังดีอยู่ ขณะที่ตลาดระดับล่างราคา ต่ำกว่า 1 ล้านบาทลงไปยังมีดีมานด์สูง แต่ขาดซับพลายเข้ามารองรับ เพราะซับพลายคอนโดต่ำกว่า 1 ล้านบาทแทบไม่มีเข้าสู่ตลาด

72990

นอกจากปัจจัยเรื่องซับพลายล้นตลาดแล้ว อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ตลาดชะลอตัวคือ การเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ซึ่งเกิดจากความกังวลเกี่ยวกับกำลังซื้อของผู้บริโภค และปัญหาการเก็งกำไรของนักลงทุน โดยในช่วงที่ผ่านมาธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกมาแสดงความกังวลในเรื่องดังกล่าว จนทำให้สถาบันการเงินเริ่มเข้มงวดการพิจารณาปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย ทั้งนี้ แม้ว่าดีมานด์ในตลาดจะยังมีอยู่มากและลูกค้าจะมีกำลังซื้อดี แต่สถาบันการเงินมีการเข้มงวดด้านสินเชื่อมากขึ้น โดยปล่อยสินเชื่อให้ลูกค้าในวงเงิน 80-90% ของราคาเต็ม ทำให้ลูกค้าไม่สามารถซื้อห้องชุดได้

ลุมพินี วิลล์ พัฒนาการ-ศรีนครินทร์

ส่วนในปี 62 คาดว่าแนวโน้มตลาดคอนโดน่าจะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้น เนื่องจากในปี 2562 จะมีปัจจัยบวกจากการเลือกตั้งเข้ามาทำให้การตัดสินใจซื้อและกำลังซื้อที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตามปัญหาซับพลายล้นตลาดที่ยังมีอยู่ ทำให้ในปีหน้า LPN มีแผนปรับเพิ่มการลงทุนในโครงการแนวราบมากขึ้นในปีหน้า ซึ่งตั้งเป้าว่าในปี 2563 LPN จะมีสัดส่วนรายได้จากโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบเป็น 10% ของรายได้รวม

“กลุ่มสินค้าแนวราบของบริษัทในตลาดพรีเมียมนั้นจะมีราคาขายที่ระดับ 15 ล้านบาทขึ้นไป ขณะที่กลุ่มบ้านในตลาดบนจะมีราคาขายระดับ 10 ล้านบาทขึ้นไป ขณะที่กลุ่มบ้านระดับกลางจะมีราคาขายในระดับ 3-5 ล้านบาท”

บ้านลุมพินี ทาวน์พาร์ค ท่าข้าม-พระราม 2

ทั้งนี้ ในปี 2562 LPN จะมีการลงทุนพัฒนาและเปิดตัวโครงการใหม่มูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2561 ประมาณ 1 เท่าตัว โดยในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัทได้ใช้งบในการซื้อที่ดินสะสมรอการพัฒนาเข้ามาแล้วกว่า 4,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่ามากกว่าในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการในปีถัดๆ ไป ประกอบกับที่ดินสะสมในมือลดลงไปจำนวนมาก ทำให้ต้องซื้อที่ดินสะสมเข้ามาเพิ่ม

นายโอภาส กล่าวว่า สำหรับในไตรมาส 4 ของปีนี้ LPN มีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่ประมาณ 6 โครงการ แบ่งออกเป็นคอนโดมิเนียม 3 โครงการรวมมูลค่า 5,000 ล้านบาทเศษ และโครงการบ้านแนวราบ 3 โครงการมูลค่ารวม 1,500 ล้านบาท หรือมีมูลค่าเฉลี่ยโครงการละ 500 ล้านบาท โดยในส่วนของโครงการคอนโดนั้นจะเปิดตัวใน 3 ทำเล ประกอบด้วย ทำเลย่านงามวงศ์วาน สุขุมวิท ซึ่งจะอยู่ในในย่านสุขุมวิท 62 และทำเลในย่านถนนนราธิวาสฯ-รัชดา ส่วนโครงการแนวราบ 3 โครงการ ประกอบด้วย 1.บ้านเดี่ยวในทำเลย่านอ่อนนุช 44 โดยจะพัฒนาเป็นบ้านเดี่ยวระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป 2.ทำเลย่านพระราม 2 – ท่าข้าม ซึ่งคาดว่าจะพัฒนาเป็นโครงการทาวน์เฮ้าส์ระดับราคา 2-3 ล้านบาท และ 3. โครงการทาวน์โฮม ในย่านสุขุมวิท 113 ซึ่งเดิมเป็นทำเลที่เตรียมไว้พัฒนาคอนโด แต่ปรับมาเป็นการพัฒนาโครงการประเภททาวน์โฮมระดับราคา 2-3 ล้านบาทแทน

“ในปี 2561 นี้บริษัทตั้งเป้าหมายมียอดขายรวม (Presale) อยู่ที่ 18,000 ล้านบาท แบ่งเป็น ยอดขายจากโครงการคอนโดมิเนียม 14,000 ล้านบาท และยอดขายจากโครงการแนวราบ 4,000 ล้านบาท ซึ่งในช่วง 9 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ย.) ที่ผ่านมาบริษัทมียอดขายรวมแล้วประมาณ 12,000 ล้านบาท มาจากโครงการคอนโดมิเนียมประมาณ 10,000 ล้านบาท และจากโครงการแนวราบประมาณ 2,000 ล้านบาท”

Leave A Reply

Your email address will not be published.