“พฤกษา” ผู้นำอสังหาฯ สะดุดโควิด รายได้/กำไรวูบ 39.9% งัดแผนเร่งระบายสต๊อกบ้าน และที่ดินในพอร์ต /เร่งการตลาดดิจิทัลเต็มสูบ
เปิดผลประกอบการไตรมาสแรกปี 63 ผู้นำอสังหาฯ “พฤกษา” วูบ 39.9% สามารถทำยอดขายจากการขาย อสังหาฯที่ 7,143 ล้าน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ถึง 11,881 ล้าน หรือลดลงไปถึง 4,738 ล้านบาท ขณะที่กำไร สามารถทำได้ 922 ล้าน ลดลงจากปี 62 ที่ทำได้ 1,686 ล้าน ลดลง 764 ล้าน คิดเป็นร้อยละ 45.3 ประธานเจ้าหน้าที่บริหารยัน ดีกว่าที่คาดการณ์ เชื่อผู้บริโภคยังมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยต่อเนื่อง เล็งปรับกลยุทธ์ธุรกิจรับความปกติใหม่ (New Normal) ในทุกมิติ ชูช่องทางขายผ่านดิจิทัล อัดโปรโมชั่นชิงส่วนแบ่งตลาดในอนาคต
จากข้อมูลการชี้แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ของบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ว่า ผลประกอบการรอบสามเดือนแรกของปี 2563 ภาพรวมกลุ่มธุรกิจอสังหาฯ มีรายได้ 7,143 ล้านบาท ลดลง 4,738 ล้านบาท หรือลดลงคิดเป็นร้อยละ 39.9 เมื่อเทียบกับรอบระยะเวลาเดียวกันของปีก่อนเนื่องจากรายได้จากบ้านทาวน์เฮ้าส์ลดลง 2,127 ล้านบาท หรือลดลงคิดเป็นร้อยละ 39.0 รายได้จากบ้านเดี่ยว ลดลง 805 ล้านบาท หรือลดลงคิดเป็นร้อยละ 37.0 และรายได้จากอาคารชุด ลดลง 1,814 หรือลดลงคิดเป็นร้อยละ 42.7 ซึ่งเป็นผลมาจากสภาวะเศรษฐกิจของประเทศ และทั้งโลกชะลอตัวซึ่งเกิดจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา(COVID-19)เป็นหลัก และ มาตรการ LTVใหม่ที่มีผลบังคับใช้วันที่ 1 เม.ย. 2562
ส่วนกำไรสุทธิบริษัทมีกำไรสำหรับไตรมาส 1/2563 เท่ากับ 922 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 12.8 ของรายได้รวม และกำไรสำหรับรอบระยะเวลาเดียวกันของปีก่อนเท่ากับ 1,686 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 14.2 ของรายได้รวม โดยบริษัทมีกำไรลดลงเท่ากับ 764 ล้านบาท หรือลดลงคิดเป็นร้อยละ 45.3 มาจากรายได้จากการขายที่ลดลง 4,738 ล้านบาทหรือลดลงคิดเป็นร้อยละ 39.9
อย่างไรก็ดีด้านต้นทุนขายอสังหาริมทรัพย์สำหรับไตรมาส 1/2563 บริษัทมีต้นทุนขายอสังหาริม ทรัพย์เท่ากับ 4,582 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 64.1 ของรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์สุทธิ ในขณะที่ต้นทุนขายอสังหาริมทรัพย์ของไตรมาส 1/2562 เท่ากับ 7,780 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 65.5 ของรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์สุทธิ ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน เป็นผลมาจากการบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ด้านอัตรากำไรขั้นต้นสำหรับไตรมาส 1/2563 บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นร้อยละ 36.3 ปรับเพิ่มขึ้นจากรอบระยะเวลาเดียวกันของปีก่อนที่ร้อยละ 34.8 ส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารบริษัทมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารสำหรับไตรมาส 1/2563 เท่ากับ 1,268 ล้านบาทคิดเป็นร้อยละ 17.7 ของรายได้รวมโดยลดลงจากรอบระยะเวลาเดียวกันของปีก่อนเท่ากับ 587 ล้านบาทหรือลดลงคิดเป็นร้อยละ 31.6 โดยเป็นค่าใช้จ่ายในการขายลดลง เท่ากับ 378 ล้านบาท หรือลดลงคิดเป็นร้อยละ 41.9 และค่าใช้จ่ายในการบริหารลดลงเท่ากับ 209ล้านบาท หรือลดลงคิดเป็นร้อยละ 21.9
ขณะที่ต้นทุนทางการเงินสำหรับไตรมาส 1/2563 บริษัทมีต้นทุนทางการเงินประมาณ 121 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 65 ล้านบาท เมื่อเทียบกับรอบระยะเวลาเดียวกันของปีก่อนจากหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยเป็นหลักอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุน ณ วันที่ 31มีนาคม 2563 เท่ากับ 0.79 และอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยหักเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดต่อทุนเท่ากับ 0.66 ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่ดีจากการบริหารจัดการหนี้สินของบริษัทและบริษัทย่อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นางสุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เผยถึงผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2563 ว่า แม้บริษัทฯ จะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่โดยภาพรวมของการดำเนินธุรกิจยังอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพึงพอใจกว่าที่คาดไว้ เนื่องจากบริษัทฯ สามารถบริหารจัดการความเสี่ยง และปรับตัวรับมือต่อผลกระทบของสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิดได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้ในไตรมาส 1 ปี 2563 นี้ บริษัทฯ มีรายได้ 7,143 ล้านบาท ยอดขาย 6,069 ล้านบาท กำไรสุทธิ 922 ล้านบาท และมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) อยู่ 26,810 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ 9,000 ล้านบาท พร้อมยังคงสภาวะทางการเงินที่แข็งแกร่งจากการบริหารสภาพคล่องของกระแสเงินสด (Cash Flow) อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยสัดส่วนรายได้ในไตรมาส 1 ราว 66% หรือ 4,699 ล้านบาท มาจากกลุ่มสินค้าทาวน์เฮาส์และบ้านเดี่ยว และมีรายได้จากกลุ่มสินค้าคอนโดมิเนียมประมาณ 34% หรือ 2,435 ล้านบาท ด้านสัดส่วนยอดขายมาจาก ทาวน์เฮาส์ 2,808 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 2,081 ล้านบาท และบ้านเดี่ยว 1,180 ล้านบาท ยังคงอัตราการทำกำไรในระดับที่ดี เห็นได้จากอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ที่ 35.9% สูงขึ้นเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในช่วงต่อไปเน้นการบริหารค่าใช้จ่ายทุกประเภทภายในองค์กรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด รักษาสภาพคล่อง เร่งแปรสินค้าสต็อก (Inventory) ให้เป็นรายได้ พร้อมได้ออกแคมเปญส่งเสริมการขายด้วยข้อเสนอพิเศษสุด สำหรับลูกค้าที่จองและโอนกรรมสิทธิ์โครงการทาวน์เฮาส์ บ้านเดี่ยว และคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ของพฤกษาที่เข้าร่วม จำนวนถึง 167 โครงการ ตั้งแต่วันนี้-30 มิถุนายน 2563 พฤกษาผ่อนให้นานสูงสุด 2 ปี พร้อมรับส่วนลดสูงสุดถึง 1 ล้านบาท ฟรีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อาทิ ฟรีค่าใช้จ่ายวันโอน ฟรีส่วนกลาง 3 ปี ฟรีค่ามิเตอร์น้ำ-ไฟ และเพิ่มเติมสำหรับทาวน์เฮาส์ รับทองคำสูงสุด 1 บาทหรือเลือกรับส่วนลดมูลค่า 25,000 บาท โดยโปรโมชั่นมีเงื่อนไขตามที่แต่ละโครงการกำหนด
ส่วนประเด็นการขายที่ดินในพอร์ตของบริษัทนั้นผู้บริหารพฤกษา ได้ออกมายอมรับว่า มีการประกาศขายที่ดินจริง โดยที่ดินที่การประกาศขายนั้นเป็นที่ดิน สุขุมวิท 18 เดิทมจะพัฒนาเป็นโครงการไอวี่ สุขุมวิท 18 เพราะการแข่งขันสูง ขณะเดียวกันหากโครงการไหนที่เห็นว่าพัฒนาแล้วไม่มีตลาดก็ตัดไปเพื่อเก็บเงินสด แต่ถ้าขายไม่ได้ก็จะชะลอการพัฒนาออกไปเพื่อรอสภาพตลาดที่พร้อม ขณะเดียวกันบริษัทยังเน้นขายที่ดินในเมือง ย่านสะพานควาย พญาไท เป็นต้น
ส่วนทิศทางของบริษัทพฤกษา หลังเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้พฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ที่จำกัดการออกจากบ้านของผู้บริโภค เป็นตัวเร่งให้สังคมเข้าสู่จุดที่ทุกคนทุกวัยเชื่อมต่อสู่โลกออนไลน์เร็วขึ้นและเพิ่มขึ้น ผู้ประกอบการทุกรายจึงต้องปรับกลยุทธ์ด้วยการนำเอาสินค้าของตัวเองเข้าไปอยู่ในโลกดิจิทัลตลอดทุกช่วงของ Customer Journey ให้ได้มากที่สุด และเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการและพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของลูกค้า พฤกษาจึงเตรียมยกระดับการพัฒนาสินค้า นวัตกรรม และการบริการ แบบบูรณาการในทุกมิติ พร้อมทั้งปรับกลยุทธ์การตลาดและการขาย โดยได้ปรับการขายผ่าน Digital Platform ตั้งแต่ระยะต้น อาทิ Facebook Live พาเยี่ยมชมโครงการ ซื้อสินค้าผ่านทางไลน์แชท (Line Chat) ชมโครงการผ่าน VDO 360 องศา และ VDO Call การคัดเลือกบ้านยูนิตพิเศษ (Hot Deals) พร้อมราคาและเงื่อนไขสุดพิเศษ ผ่านทางเว็บไซต์พฤกษ ซึ่งได้ผลตอบรับเป็นอย่างดี
สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลัง จากแนวโน้มสถานการณ์ผู้ติดเชื้อลดลงในขณะที่คนไทยมีการปรับตัวในการดำเนินชีวิตแบบเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ด้วยแล้ว มองว่าสถานการณ์น่าจะดีขึ้น หลังจากความกังวลลดลง คาดว่าลูกค้าที่มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยจะกลับมาตัดสินใจซื้อเพิ่มขึ้น