“สยามสินธร”เปิดคอนโดใหม่บนอาณาจักรหลังสวน
“สยามสินธร”เร่งปั้นคอนโดใหม่บนอาณาจักรหลังสวน
มูลค่ากว่าหมื่นล้านบาท หลัง “สินธร ต้นสน” ยอดขายพุ่งกว่า50%
“สยามสินธร” เดินหน้าสร้างอาณาจักรมิกซ์ยูส “สินธร วิลเลจ” ย่านหลังสวน แลนด์มาร์คสำคัญของกรุงเทพฯ ต่อยอดความสำเร็จ รุกเปิดโครงการใหม่ “สินธร หลังสวน” คอนโดมิเนียมหรู รับเทรนด์ตลาดอสังหาฯ กระแสลีสโฮลด์แรงต่อเนื่อง หลังโครงการ”สินธร ต้นสน” ประสบความสำเร็จเกินคาด ยอดขายพุ่งกว่า 50% หลังผู้ซื้อเปิดใจรับมากขึ้น ยกให้เป็นอีกหนึ่งทางเลือก ในราคาที่ต่ำกว่า 30% ขณะที่ราคาปล่อยเช่าได้เท่าฟรีโฮลด์
นายขจรเดช แสงสุพรรณ กรรมการบริหาร บริษัท สยามสินธร จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์แบบสิทธิการเช่าระยะยาว หรือลีสโฮลด์ (Lease Hold) ระยะเวลา 30 ปี โดยเฉพาะทำเลย่านใจกลางเมือง เช่น ราชดำริ สารสิน หลังสวน ลุมพินี ได้รับความนิยมจากผู้ซื้อที่ต้องการอยู่อาศัยย่านใจกลางเมืองเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งแง่ผู้ซื้อเพื่อการอยู่อาศัยและกลุ่มนักลงทุน ซึ่งต้องการทำเลที่ดี ปล่อยเช่าง่าย และได้อัตราผลตอบแทน( yield) ที่สูง หลังจากที่ดินย่านใจกลางเมืองเหลือน้อยเต็มที และมีราคาสูงมาก ทำให้โครงการประเภทลีสโฮลด์ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
ตอกย้ำความเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านลีสโฮลด์พร้อมเผยที่ผ่านมาผู้ซื้อเปิดใจรับมากขึ้น “จุดแข็งของลีสโฮลด์ โดยโครงการที่เจ้าของที่ดินเป็นผู้พัฒนาเอง ก็คือการดูแลรักษาสภาพอาคารให้มีสภาพดีอยู่เสมอ ซึ่งหากเป็นการขายขาด ภาระหน้าที่ตรงนี้จะกลายเป็นของนิติบุคคลอาคารชุดที่จัดตั้งขึ้นมา แต่หากเป็นการเช่าสิทธิระยะยาวที่มีเจ้าของที่ดินเป็นผู้พัฒนาโครงการเอง การดูแลเอาใจใส่ ตั้งแต่เริ่มก่อสร้าง ไปถึงการบำรุงรักษาอาคาร จะดำเนินการโดยผู้พัฒนาโครงการ ดังนั้นมูลค่าของอาคารในระยะยาวย่อมมีมากกว่า อีกทั้งยังสามารถทำราคาเช่าได้เท่ากับที่ดินประเภทฟรีโฮลด์ในทำเลเดียวกัน คือใช้เงินลงทุนน้อยกว่า แต่ได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่า จึงเป็นอีกทางเลือกของการลงทุนในคอนโดมิเนียมใจกลางเมืองที่น่าจับตามอง”
ทั้งนี้ แนวโน้มดังกล่าว สะท้อนให้เห็นการประสบความสำเร็จ จากการเปิดขายโครงการที่ 2 คือ “สินธร ต้นสน” ตั้งอยู่บนพื้นที่ 1 ไร่ครึ่ง พัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ บริเวณถนนสารสิน ตัดซอยต้นสน สูง 17 ชั้น ขนาดตั้งแต่ 85-140 ตารางเมตร ราคา 19-48 ล้านบาท หรือเริ่มต้นที่ 19 ล้านบาท จำนวน 59 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท โดยได้เปิดการขายอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 24-25 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ปัจจุบันมียอดขายรวมกว่า 50% ถือได้ว่าประสบความสำเร็จเกินคาด โดยการก่อสร้างจะแล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคม 2561 นี้ เช่นเดียวกับโครงการแรก คือ “สินธร เรสซิเดนซ์” เปิดขายไปเมื่อปี 2558 สามารถปิดการขายได้ 85% ภายในเวลา 2 ปี
“ปัจจัยที่ทำให้พื้นที่โดยรอบสวนลุมพินี มีความโดดเด่น หัวใจหลักๆเนื่องจากเพราะสวนลุมพินีเองเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ ถือเป็นปอดของกรุงเทพฯ ทำให้คอนโดมิเนียมที่อยู่รอบพื้นที่แห่งนี้ได้ชมวิวกรุงเทพฯ ในแบบ”พาร์ควิว” ทั้งยังอยู่ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวก และเครือข่ายคมนาคมในย่านนี้ที่สะดวกมาก ปัจจุบันพื้นที่โดยรอบสวนลุมพินี ถือ เป็น Prime Area แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ที่มีโรงแรมระดับ 5-6 ดาว รวมถึงอาคารสำนักงานกระจายอยู่ตามจุดต่างๆ และยังเต็มไปด้วยคอนโดระดับซูเปอร์ ลักชัวรี่ มากมาย ดังนั้น ในย่านนี้ที่ดินแบบ ฟรีโฮลด์ จึงค่อนข้างหายาก และมีราคาสูง ทำให้ราคาอสังหาฯโดยรอบย่านมีราคาพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะถือเป็นพื้นที่ไข่แดงใจกลางเมือง”
นายขจรเดช กล่าวต่อว่า บริษัทฯ เดินหน้าต่อยอดความสำเร็จ เตรียมเปิดโครงการ “สินธร หลังสวน” ภายใต้โครงการ “สินธร วิลเลจ” มูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 3 ไร่ บนที่ดินในย่านหลังสวน พัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ แบบลีสโฮลด์ เช่าซื้อระยะยาว 30 ปี และได้รับสิทธิ์ต่ออายุอีก 30 ปี สูง 33 ชั้น โดยจุดเด่นออกแบบให้แต่ละยูนิต มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น ขนาดห้องตั้งแต่ 98 – 480 ตารางเมตร รวมถึงมีการออกแบบห้องให้มีความโปร่งสบาย ระยะพื้นถึงเพดานสูงถึง 3.0 เมตร มีห้อง 4 แบบ ตั้งแต่ 1-3 ห้องนอน และเพ้นท์เฮ้าส์ จำนวนรวม 225 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 20 ล้านบาท พร้อมที่จอดรถมากถึง 496 คัน เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก พื้นที่ส่วนกลางที่มีขนาดใหญ่ เลานจ์สำหรับผู้พักอาศัย ที่ชั้น 30 พร้อมสระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือ ห้องฟิตเนสพร้อมอุปกรณ์ครบครัน ล็อคเกอร์ กับเซาวน่า และห้องสตรีม เป็นต้น โดยกำหนดเปิดขายในเดือน มิ.ย. นี้
สำหรับโครงการ สินธร วิลเลจ เป็นโครงการมิกซ์ยูสบนพื้นที่ 56 ไร่ ตั้งอยู่บนทำเลใจกลางเมืองบริเวณหลังสวน ประกอบไปด้วย คอนโดมิเนียม เซอร์วิสอพาร์ทเมนต์ โรงแรม และคอมมูนิตี้มอลล์ ภายใต้แนวคิด “Living in the Park” จัดสรรพื้นที่กว่า 14 ไร่ เป็นสวนขนาดใหญ่ เพื่อสร้างบรรยากาศที่อยู่อาศัยให้ร่มรื่น น่าอยู่ อีกทั้งยังมุ่งเน้นการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้อยู่อาศัย ชุมชน และสังคมรอบด้านอีกด้วย