เบล็ส เเอสเสท ลุย 3 โปรเจ็คใหม่
เบล็ส เเอสเสท เดินหน้า 3 โครงการใหม่ มูลค่า 1,500 ล้าน ทั้งแนวราบ คอนโดฯและมิกซ์ยูส หวังเติบโตต่อเนื่องทำยอดขาย 900 ล้าน
นายธารินทร์ บวรวนิชยกูร กรรมการ บริษัท เบล็ส แอสเสท กรุ๊ป จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบภายใต้แบรนด์ เบล็สทาวน์ (Bless Town) และเบล็ส วิลล์ (Bless Ville) เปิดเผยว่า ได้วางแผนการเปิดขายโครงการใหม่ 3 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 1,500 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ใหม่ เมลิโซ ปาร์ค (Meleso Park) โครงการบ้านเดี่ยว และแบรนด์ เบล็ส เชอร์ (BLEISURE) โครงการคอนโดมิเนียม 8 ชั้น
โดยรายละเอียดของ 3 โครงการใหม่ที่จะเปิดตัวในปีนี้ ประกอบด้วยเมลิโซ ปาร์ค ศรีนครินทร์ – หนามแดง มูลค่าโครงการ 310 ล้านบาท บ้านหรู 4 ห้องนอน บนทำเลใจกลางถนนศรีนครินทร์-หนามแดง ขนาดพื้นที่ใช้สอย 132 ตารางเมตร จำนวน 58 ยูนิต อยู่ใกล้แนวรถไฟฟ้าสายสีเหลือง สถานีศรีด่าน เชื่อมต่อถนนสายสำคัญ ถนนศรีนครินทร์ กิ่งแก้ว บางนา และเทพารักษ์ ใกล้ทางด่วนวงแหวนฯ รอบนอก ในราคาพิเศษเริ่มต้น 4.59 ล้านบาท โดย เตรียมจัดงานเปิดตัวโครงการในวันที่ 3-4 มีนาคม 2561
โครงการที่สอง เบล็สเชอร์ จรัญสนิทวงศ์ 96/1 คอนโดมิเนียม 8 ชั้น ท แห่งแรก บนทำเลใจกลางย่านจรัญสนิทวงศ์ ซอย 96/1 มูลค่าโครงการ 483 ล้านบาท จำนวน 193 ยูนิต ห่างจากรถไฟฟ้ามหานคร (MRT) สายสีน้ำเงิน สถานีบางอ้อ เพียง 700 เมตร ราคาต่อยูนิตเริ่มต้นเพียง 1.79 ล้านบาท โดยเตรียมจะเปิดขายอย่างเป็นทางการในเดือนกุมภาพันธ์ บริษัท เตรียมจะเปิดตัวโครงการในวันที่ 24-25กุมภาพันธ์ 2561
สำหรับโครงการที่สาม ที่เตรียมจะเปิดตัวนั้น บริษัทจะพัฒนาโครงการในรูปแบบมิกซ์ ยูส ระหว่างทาวน์โฮม 2 ชั้น และบ้านแฝด 2 ชั้น รวมจำนวน 318 ยูนิต บนพื้นที่โครงการประมาณ 29 ไร่ ในทำเลย่านบางปู ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการก่อสร้าง และศึกษาแบรนด์โครงการที่ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายมากที่สุด
อย่างไรก็ดี กลยุทธ์ของบริษัทยังคงเน้นจุดขายและจับตลาดที่บริษัทถนัด ได้แก่ ตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่ วัยเริ่มทำงาน กลุ่มสตาร์ท-อัพ และกลุ่มคนที่เริ่มสร้างครอบครัว ที่มีความเป็นตัวเอง สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยของคนรุ่นใหม่ โดยยังคงรักษาคุณภาพสินค้าตามแนวคอนเซปต์ความคุ้มค่ายิ่งกว่าราคาจ่าย
นายธารินทร์ กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทคาดการณ์การเติบโตอย่างก้าวกระโดดกว่าเท่าตัว มาแตะที่ 900 ล้านบาท ส่วนปีที่ผ่านมาบริษัทสามารถปิดการขายได้ประมาณ 570-580 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโตกว่า 50% จากปี 2559 โดยมองว่าปีนี้จะเป็นปีทองของบริษัท ที่มีโอกาสขยายธุรกิจได้ดีอย่างต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา ที่ภาพรวมอุตสาหกรรมจะเติบโตไม่หวือหวามาก แต่บริษัทมีข้อได้เปรียบจากการเป็นผู้ประกอบการรายเล็ก ที่สามารถปรับตัวได้ง่ายกว่าผู้ประกอบการรายใหญ่ ประกอบกับแนวทางการวางกลยุทธ์โครงการที่เปิดขาย และการจับกลุ่มตลาดที่ถูกต้อง ส่วนภาพรวมอุตสาหกรรมจะเติบโตกว่า 9-10% ตามอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจรวม (GDP) ที่คาดจะโตกว่า 4.5-5%