“เอสซีจี เซรามิกส์” แจงผลประกอบครึ่งปีแรกปี 63ท่ามกลางวิกฤติโควิดรายได้ลดร้อยละ 16 แต่ส่วนกระแสกำไร 166 ล้านบาท ดีกว่าที่คาด
วิกฤตโควิด ทำรายได้ไตรมาส 2 และครี่งปีค่าย “เอสซีจี เซรามิกส์” ลด 15% และ 16% แต่มีกำไรสวนทางรายได้เพิ่มขึ้นเป็น จากการบริหารจัดการช่องทางจัดจำหน่าย และ ลดค่าใช้จ่ายในการบริหารลง พร้อมปรับเปลี่ยนการเป็นออนไลน์มากขึ้น รองรับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของลูกค้า
นายนำพล มลิชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี เซรามิกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ COTTO ผู้ผลิตและจำหน่ายกระเบื้องภายใต้แบรนด์คอตโต้ (COTTO) โสสุโก้ (SOSUCO) และคัมพานา(CAMPANA) เปิดเผยถึง ผลการในไตรมาสที่ 2 ปี 2563ในช่วงสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงจากปัญหา COVID-19ว่า บริษัทมีรายได้จากการขาย 2,369 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 15 แต่บริษัทมีกำไรสำหรับงวดมูลค่า 41 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 95 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมาขณะที่ผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2563 มีรายได้จากการขาย 4,892 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 16 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่สามารถทำกำไร166 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ถือว่าดีกว่าที่คาดการณ์ไว้
ทั้งนี้บริษัทมียอดขายทั้งในประเทศและต่างประเทศลดลงจากปีก่อน โดยเฉพาะในช่วงที่มีมาตรการล็อคดาวน์ซึ่งมีการปิดช่องทางจัดจำหน่ายหลัก คือ ร้านโมเดิร์นเทรดทุกแห่ง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากบริษัทฯ มีช่องทางจัดจำหน่ายที่หลากหลาย และมีการบริหารจัดการช่องทางจัดจำหน่ายแต่ละรูปแบบ อย่างมีประสิทธิภาพจึงทำให้ได้รับผลกระทบบ้างแต่ไม่มากจนเกินไป เนื่องจากผู้บริโภคยังสามารถเข้าถึงสินค้าของบริษัทฯ ได้จากหลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นร้านผู้แทนจำหน่าย คลังเซรามิค และช่องทางออนไลน์
นอกจากนี้ เรายังได้ร่วมมือกับร้านโมเดิร์นเทรดเพื่อช่วยกระตุ้นการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ด้วยในช่วงที่หน้าร้านปิดทำการ ทำให้ยอดขายผ่านทางช่องทางนี้โดยรวมโตขึ้นถึง 300% ด้านคลังเซรามิคมียอดขายสูงกว่าเป้าหมายทุกเดือน ในขณะที่ร้านผู้แทนจำหน่ายส่วนใหญ่ยังมียอดขายทรงตัว ซึ่งในส่วนของการส่งออกไปยังตลาด CLM อเมริกา ยุโรป และโอเชียเนีย ได้รับผลกระทบแตกต่างกันไปตามสถานการณ์ความรุนแรงของการระบาดของโควิด-19ในแต่ละพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาสที่ผ่านมาบริษัทฯ สามารถดำเนินการผลิตและขนส่งสินค้าอย่างต่อเนื่องไม่หยุดชะงัก จึงทำให้ผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก และขณะนี้ตลาดส่งออกเริ่มดีขึ้นบ้างในกลุ่มประเทศที่กำลังฟื้นตัวโดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLM
สำหรับแผนงานของบริษัทฯ ภายหลังจากนี้ นายนำพลเปิดเผยว่า ผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้วิถีชีวิตของคนเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะพฤติกรรมผู้บริโภคที่ใช้ชีวิตอยู่บ้านมากขึ้นและมีความตระหนักถึงเรื่องความสะอาดและความปลอดภัยภายในบ้านเพิ่มขึ้น เป็นโอกาสดีของบริษัทฯที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ ในกลุ่ม Health and Clean เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ต้องการปรับแต่งพื้นที่อยู่อาศัยให้เอื้อต่อการมีสุขภาวะที่ดี ปลอดภัย สะอาดไร้กังวลและสร้างความอุ่นใจในการอยู่อาศัย โดยในช่วงไตรมาสที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้เร่งออกสินค้าเพื่อตอบสนองลูกค้ากลุ่มนี้ อาทิ กระเบื้อง Hygienic Tile หรือ กระเบื้องยับยั้งแบคทีเรีย จาก COTTO ที่ใช้เทคนิคในการผสมสารซิลเวอร์นาโนในเนื้อกระเบื้อง ทำให้สามารถยับยั้งการเกิดเชื้อแบคทีเรียได้ตลอดอายุการใช้งานซึ่งแตกต่างจากการใช้น้ำยาฆ่าเชื้อที่ออกฤทธิ์ขณะใช้งานและจะหมดประสิทธิภาพลงอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ขยายพอร์ทสินค้าเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนยุคนี้ที่ให้ความสำคัญไม่เพียงแต่ความสะอาด แต่ยังต้องคำนึงถึง ความสะดวก ปลอดภัย และสวยงาม อีกด้วย บริษัทฯจึงมุ่งเน้นพัฒนาออกสินค้าและบริการเพื่อตอบโจทย์ลูกค้า เช่น แผ่นปูพื้น LT แบบ Smart Flexible by COTTO ซึ่งเป็นวัสดุปูพื้นที่มีดีไซน์สวยงาม ติดตั้งง่าย รวดเร็ว และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และล่าสุด กระเบื้องรุ่น 4D+ จาก CAMPANA และ SOSUCO ที่เพิ่มประสิทธิภาพในการกันลื่นเพื่อความปลอดภัยได้ดียิ่งขึ้น โดยยังคงให้ผิวสัมผัสที่่นุ่มละมุนสบายแตกต่างจากเดิม
ทั้งนี้ที่สำคัญ เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่ ต้องการปรับปรุงที่พักอาศัย (รีโนเวต) บริษัทฯ ได้มีการขยายธุรกิจให้บริการติดตั้ง ภายใต้ชื่อ C’TIS (Certified Tile Installation Service) เพื่อให้บริการสร้างซ่อม ตกแต่ง ต่อเติม ติดตั้งกระเบื้องและวัสดุกรุผิว ด้วยทีมช่างมืออาชีพที่ผ่านการรับรองคุณภาพมาตรฐานกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน
อย่างไรก็ดีบริษัทเริ่มต้นจากธุรกิจติดตั้งกระเบื้องเมื่อประมาณปลายปีที่แล้ว ได้รับการตอบรับที่ดีมากจากลูกค้าหลากหลาย ทั้งกลุ่มที่ต้องการปรับปรุงบ้านที่อยู่อาศัย หน่วยงานราชการ โรงพยาบาล จากนี้ จึงคาดว่าจะต่อยอดเป็น ธุรกิจสร้างซ่อม ตกแต่ง ต่อเติม ติดตั้งวัสดุกรุผิว ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้นนอกเหนือจากกระเบื้องเซรามิก ไม่ว่าจะเป็นอลูมิเนียมคอมโพสิตสำหรับอาคารสูงและอาคารทั่วไป หรือวัสดุกลุ่ม Resilient Flooring ได้แก่แผ่นปูพื้น LT แบบ Smart Flexible by COTTO เพื่อเจาะตลาดงานต่อเติมบ้านและอาคารขนาดเล็ก โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ บ้านในโครงการต่าง ๆ ที่ผ่านมาลูกค้าส่วนใหญ่นิยมใช้บริการของ C’TIS ในการต่อเติมโรงจอดรถ ปูกระเบื้องสระว่ายน้ำ ปูพื้นห้องคอนโดมิเนียม คงานตกแต่งอาคารสถานที่ด้วยกระเบื้องขนาดใหญ่ ลูกค้าที่สนใจใช้บริการติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ทาง เฟซบุ๊กเพจ C’TIS หรือ COTTO Life และร้านผู้แทนจำหน่ายในพื้นที่ต่าง ๆ ขณะนี้ มีจุดให้บริการที่กรุงเทพ เชียงใหม่ ระยอง และชลบุรี โดยมีแผนที่จะเปิดเพิ่มอีก 30 จุดทั่วประเทศ ภายใน 2 ปีนี้” นายนำพล กล่าว
ปัจจุบัน C’TIS มีทีมช่างประมาณ 100 คนที่ให้บริการด้านสร้าง ซ่อม ตกแต่ง ต่อเติม ติดตั้ง และยังคงเปิดรับสมัครทีมช่างจำนวนมากเข้ามาร่วมงาน โดยจะมีการอบรมให้ความรู้ตามมาตรฐานของ C’TIS พร้อมกับมอบหมายงานให้ทีมช่างอย่างสม่ำเสมอ
“คาดว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นจะยังคงส่งผลต่อทั้งระบบเศรษฐกิจไปอีกระยะหนึ่ง โดยมีหลายปัจจัยที่ควรเฝ้าระวัง เช่น แนวโน้มตัวเลขผู้ติดเชื้อ ความชัดเจนของการผลิตวัคซีนป้องกัน และสภาพคล่องของระบบเศรษฐกิจ ในส่วนของตลาดกระเบื้องเซรามิกอาจจะได้รับผลกระทบจากภาคอสังหาริมทรัพย์และกำลังซื้อที่ลดลงของประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าหลังจากนี้ไปสถานการณ์ตลาดในประเทศจะค่อย ๆ คลี่คลายลงตามลำดับ ตามที่ภาครัฐมีแนวทางและมาตรการต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาคาดว่าจะมีส่วนช่วยให้ตลาดมีความต้องการใช้กระเบื้องเซรามิกและวัสดุก่อสร้างดีกว่าในไตรมาสก่อน โดยบริษัท ฯ ได้มีการเตรียมความพร้อมในการวางแผนการผลิตเพื่อบริหารสต๊อกสินค้าให้สอดรับกับความต้องการของตลาดและจับตาดูพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างใกล้ชิดด้วย ทั้งนี้ ยังต้องรอดูทิศทางของ COVID-19 หากไม่มีการระบาดระลอก 2 มั่นใจว่าจะเป็นไปตามแผนงานระยะฟื้นฟูตามที่บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าหมายไว้”