แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เผยแผนธุรกิจปี 2568 ตั้งเป้ายอดขาย 23,000 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าธุรกิจให้เช่า
บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH เปิดแผนธุรกิจปี 2568 ตั้งเป้ายอดขาย (Bookings) ที่ 23,000 ล้านบาท และเป้ายอดโอนกรรมสิทธิ์ 20,000 ล้านบาท ขณะที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าคาดทำรายได้ 9,240 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวระดับกลาง-บน และขยายธุรกิจโรงแรมต่อเนื่อง
นายนพร สุนทรจิตต์เจริญ ประธานกรรมการบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไม่ง่ายเหมือนในอดีตจากหลากหลายปัจจัยที่เข้ามากระทบตลาดมาอย่างต่อเนื่อง และทำให้ดีมานด์ลดลง
“ภาพรวมของตลาดอสังหาฯที่ผ่านมาจะเห็นว่า มีปัญหาที่สืบเนื่องมาค่อนข้างเยอะ ย้อนหลังไป 5-7 ปี จะเห็นว่าทุกคนมีซัพพลายเข้ามาในตลาดค่อนข้างมากในแง่ของคอนโดมิเนียม เมื่อตลาดคอนโดเริ่มชะลอตัวก็เริ่มย้ายมาทำโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ในปี 2567 ที่ผ่านมาจะเห็นว่าในครึ่งปีหลังทั้งคอนโดและบ้านแนรวราบจะเปิดโครงการใหม่กันไม่ค่อยมากแล้ว มันเป็นช่วงที่มีตลาดปรับสมดุลระหว่างดีมานด์และซัพพลาย ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าดีมานด์นั้นลดลงจริงๆ จากปัญหาหนี้ครัวเรือน ความสามารถในการใช้จ่าย การปล่อยกู้สินเชื่อจากธนาคาร ซึ่งต้องยอมรับว่ามันเป็นตลาดที่ไม่ง่ายเหมือนในอดีต เพราะมีปัจจัยที่เข้ามากระทบค่อนข้างมากจากปัญหาที่เกิดขึ้นมาต่อเนื่อง ไม่ได้เกิดขึ้นช่วงสั้นๆ 2-3 ปี ทำให้เศรษฐกิจซึมและความเชื่อมั่นที่ไม่กลับมาสักที”
นายนพพร มองว่าต้องกลับมาดูพื้นฐานเรื่องของงบกระแสเงินสด (Cash Flow) กลยุทธ์ที่จะใช้ ซึ่งมันจะไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด จึงต้องดูว่าการกระจายความเสี่ยงออกไปในแต่ละช่วงจะทำอะไรได้บ้าง นอกจากของที่มีขายในสต๊อคทั้งหมดมีอะไรบ้างเทียบกับอัตราการดูดซับในตลาด และการกระจายความเสี่ยงไปทำโรงแรมมากขึ้นในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาทั้งโรงแรมที่ไทยและสหรัฐอเมริการวมแล้วหลายหมื่นล้านบาท ซึ่งจะเป็น Recurring income และ Capital Gain อันใหม่ที่จะเข้ามา
![72990](http://www.propertychannel.co.th/wp-content/uploads/2018/04/728-90.jpg)
แนวโน้มตลาดและผลประกอบการปี 2567
นายวัชริน กสิณฤกษ์ กรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ โครงการบ้านจัดสรร เปิดเผยว่า ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลชะลอตัว โดยการโอนกรรมสิทธิ์ลดลง 10% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะตลาดบ้านแนวราบที่ลดลงถึง 22% ขณะที่ตลาดคอนโดมิเนียมทรงตัว อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงมียอดขายจากบ้านแนวราบเป็นหลัก คิดเป็น 80% ของยอดขายรวม ตลอดปี 2567 LH เปิดโครงการใหม่ทั้งหมด 12 โครงการ มูลค่ารวม 30,850 ล้านบาท และลงทุนซื้อที่ดินสำหรับพัฒนาโครงการมูลค่า 4,300 ล้านบาท
แผนธุรกิจปี 2568: เปิดตัว 4 โครงการบ้านเดี่ยว มูลค่า 11,180 ล้านบาท
ในปี 2568 บริษัทฯ วางแผนเปิดโครงการใหม่ 4 แห่ง มูลค่ารวม 11,180 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนถึง 64% เนื่องจากยังมีสินค้าคงค้างที่เพียงพอ โครงการที่เปิดใหม่ทั้งหมดเป็นบ้านเดี่ยวระดับกลาง-บน ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 3 โครงการ และภูเก็ต 1 โครงการ
- สีวลี บางนา กม.13 บ้านเดี่ยว 9.3 ล้าน มูลค่าโครงการ 3,040 บาท ใน Q1
- VIVE ภูเก็ต บ้านเดี่ยว 36 ล้าน มูลค่าโครงการ 1,300 บาท Q1
- VIVE กรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ บ้านเดี่ยว 63 ล้าน มูลค่าโครงการ 4,620 บาท Q2
- นันทวัน ราชพฤกษ์-พรานนก บ้านเดี่ยว 65 ล้าน มูลค่าโครงการ 2,220 บาท Q4
ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดว่าราคาขายเฉลี่ยต่อยูนิตในปี 2568 จะอยู่ที่ 10.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ที่เฉลี่ย 9.8 ล้านบาท
แผนธุรกิจคอนโดมิเนียม: มุ่งขายโครงการเดิม เน้นทำเลศักยภาพ
นายโชคชัย วลิตวรางค์กูร กรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ โครงการอาคารชุด ระบุว่า ตลาดคอนโดฯ ในปี 2568 จะฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยบริษัทฯ จะเน้นขายคอนโดที่มีอยู่แล้ว 6 โครงการ รวมมูลค่า 13,500 ล้านบาท โครงการหลักที่ได้รับความนิยมคือ “วันเวลา ณ เจ้าพระยา” ซึ่งมียอดขายแล้ว 52% หรือประมาณ 7,700 ล้านบาท
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า: เดินหน้าขยายโรงแรม ลดภาระหนี้
นายอาชวิณ อัศวโภคิน รองกรรมการผู้จัดการและผู้บริหารสูงสุดด้านการเงิน เปิดเผยว่า บริษัทฯ จะเดินหน้าขยายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า โดยมีงบลงทุน 4,500 ล้านบาท สำหรับพัฒนาโครงการโรงแรมและศูนย์การค้า โครงการสำคัญในปี 2568 ได้แก่:
• Grande Centre Point Lumphini (Mixed-use) เปิดตัวเดือนเมษายน 2568
• Grande Centre Point Ratchadamri 2 (2569)
• Grande Centre Point Pattaya 3 (2570)
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ มีแผนออกหุ้นกู้มูลค่า 12,000 ล้านบาท เพื่อลดภาระหนี้สิน โดยตั้งเป้าลดอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนจาก 1.3 เท่าในปี 2567 เป็น 1.0 เท่าในปี 2568
สรุปแนวโน้มปี 2568
LH คาดว่าตลาดอสังหาฯ ปี 2568 จะได้รับปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว อัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มลดลง และอุปทานที่ปรับลดลง อย่างไรก็ตาม การปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดและหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ยังคงเป็นความท้าทายที่ผู้ประกอบการต้องจับตา บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวระดับกลาง-บน ควบคู่ไปกับการขยายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้เช่า เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว