LPN ก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เดินหน้าขับเคลื่อนองค์กรปี 2566 ภายใต้แนวคิด “Transform for Better Living”

371

“แอลพีเอ็น” เดินหน้าขับเคลื่อนองค์กรปี 2566 ภายใต้แนวคิด “Transform for Better Living” สู่การขับเคลื่อนองค์กรเพื่อการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในทุกมิติ พร้อมวางแผนรุกพัฒนาโครงการให้เกิดความน่าอยู่ในทุกมิติ ภายใต้แบรนด์ “168” โดยมีแผนเปิดตัวโครงการ 17 โครงการ มูลค่ารวม 14,000 ล้านบาท

นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เปิดเผยว่า ปี 2566 เป็นปีที่ท้าทายในการขับเคลื่อนองค์กรท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้ซื้อที่อยู่อาศัยภายหลังการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) โดยแอลพีเอ็นกำหนดให้ปี 2566 เป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงเพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ดีตามแนวคิด “Transform for Better Living” เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการของคนทุกวัย และขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นผ่านการพัฒนาและการออกแบบที่อยู่อาศัยที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้าในทุกระดับ เพื่อสร้างรายได้รวม 50,000 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2565-2569 ตามแผนโรดแมป 5 ปี

“ปี 2566 เป็นปีที่ต้องเผชิญกับความท้าทายในหลายมิติ ทั้งการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) ที่ทำให้พฤติกรรมของลูกค้าเปลี่ยนแปลงไป รวมถึงภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีโอกาสถดถอย อัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มสูงขึ้น การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 บริษัทฯ จึงวางแผนยกระดับการบริหารจัดการเพื่อการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนให้เกิดขึ้นจริง ตั้งแต่การนำร่องเผยโฉมรูปลักษณ์ใหม่ของการพัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์ ‘168’ ดังที่ได้เห็นมาบ้างแล้วในช่วงปี 2565 ซึ่งนับเป็นการเริ่มต้นสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับแอลพีเอ็นได้ชัดเจนขึ้นรวมถึงแผนการขยายการพัฒนาที่อยู่อาศัยไปสู่โครงการบ้านพักอาศัยระดับพรีเมี่ยม ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากการตอบรับที่ดีจากลูกค้าจนสามารถปิดการขายโครงการ BAAN 365 RAMA 3 ไปเป็นที่เรียบร้อย” นายโอภาสกล่าว

“นอกจากการวางกลยุทธ์ธุรกิจดังกล่าว ในปี 2566 แอลพีเอ็นยังกำหนดให้เป็นปีที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อม โดยวางแนวทางการบริหารจัดการก๊าซ CO2 ภายใต้แนวทาง Carbon Neutrality (อัตราการปล่อย CO2 เท่ากับอัตราการดูดซับของ CO2) และดำเนินนโยบายการบริหารจัดการโครงการก่อสร้างทุกโครงการโดยมุ่งเน้น “ขยะเป็นศูนย์” (Zero Waste) เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐในการลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ในประเทศไทยลงมา 20-25% ภายในปี 2573 ซึ่งเป็นนโยบายที่สอดคล้องกับการทำงานของบริษัทฯ ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาความยั่งยืนใน 3 มิติ ได้แก่ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เริ่มตั้งแต่การนำหลักการออกแบบอาคารเขียวของสากลมาปรับใช้ในการพัฒนาโครงการตั้งแต่ปี 2552 และได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในกระบวนการหลักและปฏิบัติจนกลายเป็นมาตรฐานภายใต้แนวคิด 6 Green LPN” นายโอภาสกล่าว

ภายใต้การปรับกลยุทธ์องค์กรดังกล่าว นายโอภาส กล่าวว่า ในปี 2566 แอลพีเอ็นได้วางเป้าหมายรายได้รวมไว้ที่ 7,600 ล้านบาท ซึ่งมีอัตราการเติบโตสูงขึ้น 20 % จากปี 2565 โดยมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่รวม 17 โครงการ มูลค่ารวม 14,000 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ “168” แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมจำนวน 4 โครงการ มูลค่า 5,000ล้านบาท และโครงการบ้านพักอาศัย 13 โครงการ มูลค่า 9,000 ล้านบาท โดยพร้อมเปิดพรีเซลล์ 3 โครงการ        ที่พักอาศัยระดับพรีเมี่ยม ได้แก่ Residence 168 ราชพฤกษ์ / Maison 168 เมืองทอง และ Villa 168 เวสต์เกต พร้อมกันในวันที่ 25-26 กุมภาพันธ์นี้ และวน 14 โครงการ แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 2 โครงการ ได้แก่ ลุมพินี คอนโดทาวน์ เอกชัย 48 และลุมพินี ทาวน์ชิป รังสิต-คลอง 1 (เฟส 3) และบ้านพักอาศัย 12 โครงการ ได้แก่ Residence 168 ราชพฤกษ์, Residence 168 อ่อนนุช 46, Maison 168       เมืองทอง, Villa 168 เวสต์เกต, Venue 168 เวสต์เกต, Venue 168 คูคต สเตชั่น, Venue 168 ราชพฤกษ์, Haus 168 เวสต์เกต, Haus 168 คูคต สเตชั่น, Haus 168 ราชพฤกษ์, และโครงการใหม่จำนวน 2 โครงการ

สำหรับในปี 2565 แอลพีเอ็นมีรายได้รวม 6,136 ล้านบาท เติบโต 42% เมื่อ เทียบกับปี 2564 แบ่งเป็น โครงการคอนโดมิเนียม 3,769 ล้านบาท และโครงการบ้านพักอาศัย 2,064 ล้านบาท และรายได้จากการธุรกิจเช่า 303 ล้านบาท รวมทั้งยังมีรายได้พิเศษจากการขายอาคารสำนักงาน 2,590 ล้านบาท และมียอดรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่า 1,845 ล้านบาท ที่จะสร้างรายได้ในปี 2566-2568 และสินค้าคงเหลือ (Inventory) มูลค่า 7,000 ล้านบาท

“ปี 2566 นี้จะเป็นปีแรกในรอบ 5 ปีของแอลพีเอ็นที่จะขยายการพัฒนาโครงการที่พักอาศัยในต่างจังหวัด  อีกครั้ง หลังจากที่เคยเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมในจังหวัดอุดรธานี ชลบุรี พัทยา และชะอำ มาแล้ว เนื่องจาก   เห็นโอกาสในการขยายการลงทุนตามการขยายตัวของเมือง เส้นทางคมนาคม และความต้องการของผู้ซื้อ   โดยแอลพีเอ็นจะเน้นขยายการพัฒนาโครงการไปในจังหวัดที่มีศักยภาพในการขยายตัวและกำลังซื้อสูง โดยเฉพาะ    ในทำเลเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor)” นายโอภาสกล่าวเสริม

Leave A Reply

Your email address will not be published.