ชี้โควิด-19 สร้าง 3 พฤติกรรมใหม่ตอบรับการซื้อที่อยู่อาศัยยุค New Normal
เว็บไซต์ TERRABKK.com เปิดผลวิจัย “The Most Powerful Brand 2020” เจาะลึกพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคโควิด-19 พบ 3 พฤติกรรมใหม่ที่น่าสนใจชี้ช่วงวิกฤตลูกค้ายอมจ่ายเพิ่ม 20-30% เพื่อซื้ออสังหาฯมี แบรนด์
เปิดผลวิจัย “The Most Powerful Brand 2020” จากการเก็บข้อมูลแบบสอบถามออนไลน์ และภาคสนาม จากกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศ จำนวน 1,581 คน พบว่าด้านดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เมื่อถามถึงภาพรวมเศรษฐกิจ พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 81% บอกว่า โควิด 19 มีผลต่อการตัดสินใจซื้ออสังหาฯในช่วงนี้ โดย 3อันดับแรก บอกว่า ไม่มั่นใจกับสภาพเศรษฐกิจ 69%, ความมั่นคงทางรายได้และการงาน 67% และมีความกังวลกับโรคระบาดที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต 40%
ขณะที่ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคแยกตามอาชีพ พบว่า กลุ่มเจ้าของกิจการ (พนง.น้อยกว่า 10คน), ฟรีแลนซ์, ค้าขายขนาดเล็ก, พนักงานเอกชน,แม่บ้าน-พ่อบ้าน, เจ้าของกิจการ (ไม่มีพนง.) มีความไม่เชื่อมั่นต่อสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ขณะที่ในอีก 1-5 ปีข้างหน้า ผู้บริโภคทุกกลุ่มตอบว่าเชื่อมั่นต่อสภาวะเศรษฐกิจมากขึ้น เพราะมองว่าแนวโน้มเศรษฐกิจจะดีขึ้น อย่างไรก็ดีสำหรับกลุ่มเจ้าของกิจการ (ไม่มีพนักงาน) เป็นเพียงกลุ่มเดียวที่เห็นว่าช่วงนี้ไม่เหมาะสำหรับการซื้อสินค้ามูลค่าสูง เช่น อสังหาฯ, รถยนต์
สำหรับผู้บริโภคที่มีแผนซื้อบ้านใหม่หลังเกิดวิกฤตโควิด19 ส่วนใหญ่หันมาให้ความสำคัญกับวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้าง, ระบบรักษาความปลอดภัย, บริการหลังการขาย, พื้นที่ใช้สอยภายในที่อยู่อาศัย กันมากขึ้น
ด้านเทรนด์การอยู่อาศัยในอนาคต 5 อันดับแรก ผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 72% เห็นว่าควรมีความคุ้มค่า คุ้มราคา, มาตรการรักษาความปลอดภัย 69%, การประหยัดพลังงาน 56%, การออกแบบพื้นที่ใช้สอยตอบโจทย์ Work From Home 51% และออกแบบที่เน้นความสะอาด ถูกหลักอนามัย 50%
นางสาว สุมิตรา วงภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทอร์ร่า มีเดีย แอนด์ คอนซัลติ้ง จำกัด ผู้ให้บริ การเว็บไซต์ TerraBKK.com สำหรับค้นหาบ้าน-คอนโดฯ พร้อมให้คำปรึกษาด้านการพัฒนาอสังหาฯทุกประเภทอย่างเจาะลึก กล่าวว่า แม้วิกฤติโควิด 19 ในไทยจะมีทิศทางดีขึ้น แต่ด้วยสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันที่ยังไม่ฟื้นตัว ทำให้คนส่วนใหญ่มีความกังวลต่อรายได้ที่ไม่มั่นคง และเชื่อมั่นว่าในช่วง 1 ปีข้างหน้าภาพ รวมเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้น ซึ่งจากผลงานวิจัย “The Most Powerful Brand 2020” ทำให้เราพบข้อ มูลสำคัญ 3 หัวข้อที่น่าสนใจ คือ
ส่วนคุณค่าของแบรนด์ คือ สินทรัพย์ที่มีมูลค่าเพิ่มในอนาคต ช่วงวิกฤตโควิด 19 ที่ผ่านมา ทำให้คนส่วนใหญ่เปลี่ยนมุมมองด้านการอยู่อาศัยในอนาคต ที่ “บ้าน” จะไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัยเพียงอย่างเดียว แต่จำ เป็นต้องมีพื้นที่รองรับทั้งการอยู่อาศัย การทำงานในบ้าน และรองรับไลฟ์ สไตล์อื่น ๆ ด้วย โดยผลวิจัยพบ ว่า หากมีการซื้ออสังหาฯในช่วงนี้ ผู้บริโภคยินดีจ่ายเงินมากขึ้น 20-30% เพื่อซื้อบ้าน-คอนโดฯ จากแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ เมื่อเทียบกับโครงการอื่นในทำเลเดียวกัน เพราะมองว่าสินทรัพย์ที่มีแบรนด์ จะสามารถสร้างมูล ค่าเพิ่ม ขายต่อได้อย่างรวดเร็วในราคาที่พึงพอใจได้ในอนาคต
อย่างไรก็ดี ผู้ซื้อบ้านช่วงนี้เป็นผู้มีความจำเป็น ดังนั้น “บริการ” จากพนักงานขาย จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก พฤติกรรมการเลือกซื้ออสังหาฯ ในช่วงวิกฤตมีความต่างไปจากเดิม โดย Customer Journey ของลูกค้าส่วนใหญ่มักจะมองหาโครงการจากแบรนด์ที่มีความคุ้นเคย และมีตัวเลือกในใจที่น้อยลง เพื่อค้นหาข้อมูลโครง การที่สนใจในระบบออนไลน์อย่างละเอียด ก่อนที่จะเข้าเยี่ยมชมโครงการจริง
ดังนั้นการส่งมอบบริการที่ดีผ่านพนักงานขาย ตั้งแต่การให้ข้อมูล, พาเยี่ยมชมโครงการ, การหาสิน เชื่อที่ตอบรับกับความต้องการของลูกค้า รวมถึงการช่วยแก้ไขปัญหา และติดตามผลตอบรับลูกค้า เหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยสร้างประสบการณ์ ความเชื่อมั่นในแบรนด์ให้กับลูกค้าได้เป็นอย่างดีในช่วงวิกฤตสู่ความภักดีต่อแบรนด์ในอนาคต
ในส่วนมุมมองลูกค้า “โปรโมชั่น ลด-แลก-แจก-แถม อยู่ฟรี และมาตรการช่วยเหลือลูกค้า” ของ Developerคือ การใส่ใจ และวิสัยทัศน์ที่ดีของผู้บริหาร จากวิกฤตทำให้แบรนด์อสังหาฯ ส่วนใหญ่เกิดการปรับตัวครั้งสำคัญ แบรนด์ต้องเร่งจัดโปรโมชั่นต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นยอดขาย ซึ่งแคมเปญส่วนลด, ของแถม,อยู่ฟรี, ช่วยผ่อน กลายเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้แบรนด์เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น แต่ยังคงเอกลักษณ์ความเป็นแบรนด์นั้น ๆ ทำให้สินค้าไม่เสียราคา ขณะที่ลูกค้าก็เห็นถึงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารผ่านแคมเปญต่าง ๆ ที่ออกมาช่วย เหลือกลุ่มลูกค้าเดิมที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤต และกลุ่มลูกค้าใหม่ที่ได้โอกาสซื้อสินค้าคุณภาพดี ทั้งนี้การแจกของที่มีมูลค่าสูง อาทิ ทองคำ, สมาร์ทโฟน, สลากออมทรัพย์ เป็นโปรโมชั่นที่ลูกค้าชื่นชอบในช่วงที่เกิดวิกฤต
อย่างไรก็ดี การพัฒนานวัตกรรม เทคโนโลยี ที่ช่วยในการประหยัดพลังงาน และรักษาสิ่งแวดล้อมเป็นเทรนด์ที่คนส่วนใหญ่เห็นว่า ผู้พัฒนาอสังหาฯ ควรนำนวัตกรรมใหม่ๆ มาผสมผสานสร้างสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการ รวมถึงต้องมีการพัฒนางานดีไซน์-สีสัน แบบใหม่ ๆ ให้กับทุกโครงการ เพื่อสร้างเอก ลักษณ์ และในอนาคตผู้บริโภคส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือของแบรนด์มากขึ้น โดยเฉพาะผู้บริโภค Generation ใหม่ ๆ ซึ่งการตอกย้ำให้ลูกค้าสร้างการจดจำต่อแบรนด์ จะช่วยสร้างความภักดีได้เป็นอย่างดี คุณสุมิตรา กล่าวทิ้งท้าย
ขณะที่ ด้านแบนด์ พบว่า แบรนด์ แสนสิริ ยังคงรักษาแชมป์ Real Estate: The Most powerful brand 2020 ได้เป็นปีที่ 3 โดยแสนสิริ ได้ Brand Powerful Score อันดับที่ 1คิดเป็น 66% จากผู้ตอบแบบสอบถามที่รู้จักแบรนด์แสนสิริ เป็นอย่างดี (คำนวนจาก Performance 7 ด้าน คือ Brand love, Brand Famous, Unique, Dynamic, Trusted, Familiarity, Meet Needs)
โดยผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 90% รู้จักแบรนด์แสนสิริเป็นอย่างดี และมองว่า แบรนด์แสนสิริเป็นผู้นำในหลายด้าน อาทิ มาตรฐานงานก่อสร้าง, บริการหลังการขายที่ดี, มีคุณภาพ, การออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์, ออกแบบเพื่อผู้สูงวัย และนวัตกรรมสำหรับการอยู่อาศัย และยังเห็นว่าแสนสิริ เป็นแบรนด์ที่เข้าใจความต้องการของผู้อยู่อาศัย-นักลงทุน, สะท้อนตัวตนเจ้าของ และภูมิใจที่ได้เป็นเจ้าของ
ซึ่งปีนี้ยังมี 2 แบรนด์ ที่มีความโดดเด่น น่าเชื่อถือ ขึ้นแท่นรางวัลแบรนด์ผู้ท้าชิงแห่งปี 2563 คือ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) จากผลวิจัยที่แสดงถึงความโดดเด่นในด้าน Brand Trusted หรือ แบรนด์ที่ได้รับความเชื่อมั่นด้านคุณภาพตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภค คุ้มค่าคุ้มราคา เข้าถึงง่าย และมีการออกแบบรองรับผู้สูงอายุ และบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (SC asset) จากผลวิจัยที่แสดงถึงความโดดเด่นในด้าน Brand Differentiate หรือแบรนด์ที่โดดเด่นในโลกออนไลน์ มีความแตกต่างไม่หยุดนิ่ง,หรูหรามีระดับ, ดูอินเตอร์ และภูมิใจที่ได้เป็นเจ้าของ