“เจแอลแอล”  เผยผลสำรวจ พนักงานบริษัทในเอเชียแปซิฟิก 5 ประเทศ หวังว่า อนาคตบริษัทใช้นโยบาย ทำงานแบบไฮบริด สามารถทำงานได้ทั้งในออฟฟิศและนอกสถานที่

1,099

“เจแอลแอล” เผยผลสำรวจพนักงานกลุ่มตัวอย่าง 1,500 คนใน 5 ประเทศย่านเอเชียแปซิฟิก พบร้อยละ 68 ทำงานที่บ้าน และในจำนวนนี้ระบุว่า คิดถึงที่ทำงาในออฟิศ ถึงร้อยละ 66 ​โดยส่วนใหญเป็นกลุ่มเจนมิลเลนเนียล (Gen M) อายุ 20 ปี ถึง 30 ปีปลายๆ  โดยคาดหวังว่า อนาคตบริษัทจะใช้นโยบายสถานที่ทำงานแบบไฮบริดที่ให้พนักงานสามารถทำงานได้ทั้งในออฟฟิศและจากสถานที่อื่น จับตาอาคารสำนักงานพื้นที่ร่วมกว่า 2.4 ล้านตร.ม. ที่กำลังจะทยอยสร้างเสร็จในอีก 6 ปีข้างหน้า จะเป็นทางเลือกของผู้เช่า และเจ้าของโครงการสำนักงาน ที่มีการปรับกลยุทธ์การใช้พื้นที่ให้สอดคล้องกับวิถีใหม่ของการทำงาน ซึ่งจะสะท้อนถึงวิวัฒนาการครั้งสำคัญที่กำลังเกิดขึ้นกับสถานที่ทำงานสำหรับบริษัท และองค์กร

 

จากรายงาน “Home and away: the new hybrid workplace?” ซึ่งจัดทำโดย เจแอลแอล บริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เพื่อประกอบการวิเคราะห์ผลกระทบจากภาวะยืดเยื้อของสถานการณ์โควิด-19 โดยมีพนักงานจำนวนมากของบริษัท/องค์กรต่าง ๆ ต้องทำงานจากที่บ้านเป็นเวลานาน ทั้งนี้เป็นการสำรวจความเห็นพนักงานกลุ่มตัวอย่าง 1,500 คนใน 5 ประเทศของเอเชียแปซิฟิก

อย่างไรก็ดี รายงานฉบับดังกล่าว ระบุว่า พนักงานพึงพอใจกับความมีอิสระในการทำงานที่บ้าน แต่ขณะเดียวกัน ส่วนใหญ่คิดถึงสภาพแวดล้อมการทำงานที่ออฟฟิศเพราะเป็นสถานที่ที่พนักงานสามารถพบปะพูดคุยและทำงานร่วมกันได้อย่างใกล้ชิดมากกว่า

ทั้งนี้ จากการแบ่งกลุ่มผู้ร่วมการสำรวจตามอายุ พบว่า พนักงานในกลุ่มเจนมิลเลนเนียล หรือ Gen M(กลุ่มคนปัจจุบันที่มีอายุระหว่าง 20 เศษ ๆ ถึง 30 เกือบปลาย) เป็นกลุ่มที่สัดส่วนสูงสุด หรือคิดเป็นร้อยละ 66 ระบุว่าคิดถึงการทำงานในออฟฟิศ โดยมีข้อดีในเรื่องของการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ร่วมงาน ผู้คน เป็นสถานที่และมีบรรยากาศการทำงานที่เป็นกิจลักษณะ มุ่งเน้นการทำงานเป็นหลัก นอกจากนี้ ร้อยละ 81 ของพนักงานกลุ่มเจนมิลเลนเนียล แสดงความเห็นว่า เทคโนโลยีมีความพร้อมรองรับการทำงานที่บ้าน และร้อยละ 52 บอกว่า การทำงานที่บ้านได้ประสิทธิผลดีขึ้น ขณะที่มีกล่มสำรวจจำนวนหนึ่งที่ยอมรับว่า ไม่สามารถจัดสถานที่ที่บ้านให้มีบรรยากาศเหมาะกับการทำงานได้จริง

โดยนายแอนโธนี เคาส์ ซีอีโอเอเชียแปซิฟิก เจแอลแอล กล่าวว่า  พนักงานทั่วเอเชียแปซิฟิกสามารถปรับตัวให้ทำงานนอกออฟฟิศได้เป็นอย่างดี แต่ขณะเดียวกัน มีพนักงานจำนวนมากที่ยังคงต้องการสภาพแวดล้อมการทำงานในรูปแบบออฟฟิศ ดังนั้น เป็นที่ชัดเจนว่า ออฟฟิศสำนักงานจะยังเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับบริษัท/องค์กรต่อไป แต่กระแสที่ได้รับการยอมรับมากขึ้นเกี่ยวกับการให้พนักงานสามารถทำงานจากสถานที่อื่นที่ไม่ใช่ออฟฟิศ จะทำให้บริษัทต่างๆ จำเป็นต้องศึกษากลยุทธ์ใหม่ในการกำหนดรูปแบบสถานที่ทำงานให้เหมาะสมกับวิถีการทำงานที่ปรับเปลี่ยนไปของบุคลากร

 

72990

อย่างไรก็ดี การที่พนักงานมีความคาดหวังสูงขึ้นว่า ในอนาคตองค์กรจะใช้รูปแบบสถานที่ทำงานไฮบริด คือการให้ทำงานได้ทั้งในออฟฟิศ และจากที่บ้านหรือสถานที่อื่น จะมีอิทธิพลสำคัญต่อการกำหนดวัตถุ ประสงค์และวัฒนธรรมร่วมขององค์กร ขณะที่ร้อยละ 29 ของพนักงานที่เข้าร่วมการสำรวจ มีความมั่นใจสูงต่ออนาคตขององค์กร และร้อยละ 27 มีความมั่นใจสูงในอนาคตการงานของตนเอง ในขณะที่พนักงานเจนมิลเลนเนียล Gen M มีความมั่นใจสูงกว่านั้น คือ ร้อยละ 35 และ 34 ตามลำดับ

นอกจากนี้ ผู้ตอบแบบสำรวจมองว่า เป็นหน้าที่รับผิดชอบของบริษัทนายจ้างที่จะต้องสร้างทัศนคติเชิงบวกดังกล่าว และส่งเสริมให้พนักงานสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงขึ้น ไม่ว่าจะทำงานจากที่บ้านหรือที่ออฟฟิศ ขณะเดียวกัน รายงานของเจแอลแอลยังได้เสนอแนะประเด็นที่บริษัทนายจ้างควรพิจารณาสำหรับการดำเนินนโยบายสถานที่ทำงานไฮบริด คือ

ออฟฟิศสำนักงานจะยังเป็นสิ่งจำเป็นต่อไป :

การให้พนักงานทำงานจากสถานที่อื่นกำลังเป็นกระแสที่ได้รับการยอมรับมากขึ้น ซึ่งหมายความว่า บริษัทจะสามารถเข้าถึงบุคลากรที่มีความหลากหลายและกระจายตัวออกไปมากขึ้น แต่ความท้าทายจะอยู่ที่ความมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพ ดังนั้น โดยทั่วไป ออฟฟิศจะยังคงมีความสำคัญเนื่องจากเป็นสถานที่ที่เอื้อต่อการทำงานมากที่สุด

 ออฟฟิศจะได้รับการออกแบบให้เป็นศูนย์กลางทางสังคม: 

ออฟฟิศให้วิถีชีวิตการทำงานที่ไม่สามารถสร้างเรียนแบบขึ้นมาที่บ้านได้ เป็นศูนย์กลางทางสังคมขององค์กรที่พนักงานมารวมตัวกันเพื่อเป้าหมาย วัตถุประสงค์ และวิสัยทัศน์ที่มีร่วมกัน การออกแบบและกำหนดวัตถุประสงค์ใหม่ จะเป็นสิ่งจำเป็นที่จะทำให้ออฟฟิศเป็นสถานที่ที่พนักงานสามารถมีความร่วมมือระหว่างกันได้ แม้จะมีการแบ่งทีมสลับกันทำงานที่ออฟฟิศและที่อื่น

องค์กรแห่งอนาคตจะใช้นโยบายที่มีความยืดหยุ่นเกี่ยวกับสถานที่ทำงานของพนักงาน: 

การทำงานจากที่บ้านทำให้พนักงานจำนวนมากมีความสุขจากการมีความยืดหยุ่นและความสามารถในการควบคุมสมดุลของชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว ดังนั้น บริษัท/องค์กรต่างๆ จะต้องคิดใหม่เกี่ยวกับสถานที่ทำงานสำหรับพนักงาน โดยอาจต้องพิจารณาการผสมผสานของสถานที่ทำงานหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น สำนักงานใหญ่ของบริษัท สำนักงานย่อย โคเวิร์คกิ้ง และบ้านของพนักงานเอง เพื่อให้มีสถานที่ทำงานแบบไฮบริดอย่างแท้จริง

โดย นายร็อดดี อลัน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิจัยภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก เจแอลแอล กล่าวว่า สำนักงานจะยังคงมีบทบาทสำคัญในการกำหนดวัฒนธรรมองค์กร เป็นสถานที่ก่อกำเนิดวัตถุประสงค์ร่วม ตอบสนองความต้องการและเติมเต็มชีวิตหน้าที่การงานของบุคลากร ในขณะที่สถานการณ์โควิด-19 เข้ามามีอิทธิพลต่อรูปแบบของสำนักงาน ดังที่เห็นได้จากการเกิดขึ้นของสถานที่ทำงานแบบไฮบริดที่มีการผสมผสานให้เกิดความคล่องตัว

ส่วน นายไมเคิล แกลนซี ผู้อำนวยการกลุ่มธุรกิจตัวแทนซื้อขายให้เช่า เจแอลแอล ประเทศไทย กล่าวว่า บริษัทต่างๆ ในประเทศไทย โดยเฉพาะกรุงเทพฯ กำลังอยู่ในช่วงของการประเมินกลยุทธ์ระยะยาวสำหรับสถานประกอบการของตน โดยเน้นให้ความสำคัญด้านสุขอนามัยของพนักงาน ในขณะเดียวกัน มีโครงการก่อสร้างอาคารสำนักงานที่กำลังจะทยอยสร้างเสร็จในอีกราว 6 ปีข้างหน้าคิดเป็นพื้นที่รวมกว่า 2.4 ล้านตารางเมตร โดยบริษัทต่างๆ จะมีโอกาสมากขึ้นในการเลือกเช่าพื้นที่สำนักงานและปรับกลยุทธ์การใช้พื้นที่ให้สอดคล้องกับวิถีใหม่ของการทำงาน ซึ่งทั้งหมดนี้ สะท้อนให้ถึงวิวัฒนาการครั้งสำคัญที่กำลังเกิดขึ้นกับสถานที่ทำงานสำหรับบริษัท และองค์กร

 

 

Leave A Reply

Your email address will not be published.