มิตซูบิชิ ก้าวสู่ปีที่ 41 มุ่งยกระดับธุรกิจลิฟต์และบันไดเลื่อน และเตรียมรองรับการขยายตัว EEC
มิตซูบิชิ ก้าวสู่ปีที่ 41
มุ่งยกระดับธุรกิจลิฟต์และบันไดเลื่อน และเตรียมรองรับการขยายตัว EEC
มิตซูบิชิ เอลเลเวเตอร์ ผู้นำตลาดลิฟต์และบันไดเลื่อน ยาวนานกว่า 40 ปี ยึดนโยบายความปลอดภัยมาตรฐานระดับโลก และการให้บริการหลังการขายครบวงจร ภูมิใจได้มาตรฐาน ISO 9001, ISO 14001 และ OHSAS 18001 ครอบคลุมด้านการบริหารจัดการคุณภาพ ระบบบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม ระบบบริหารจัดการชีวอนามัยและความปลอดภัย พร้อมด้วยบุคลากรที่เต็มเปี่ยมคุณภาพ ผ่านการฝึกอบรมภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติอย่างเข้มข้นจากศูนย์ฝึกอบรมการขนส่งแนวดิ่งที่ดีที่สุดในเอเชียอาคเนย์ เตรียมรองรับการขยายตัวทั้ง AEC และ EEC พร้อมยกระดับสู่ผู้นำในตลาดลิฟต์และบันไดเลื่อนในประเทศไทยอย่างยั่งยืน ตั้งเป้ารายได้เติบโต 5-7% ต่อปี
มร. มุเนอิสะ โอกาโมโตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิตซูบิชิ เอลเลเวเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้แทนจำหน่าย ติดตั้งและให้บริการหลังการขายผลิตภัณฑ์ลิฟต์และบันไดเลื่อนมิตซูบิชิ เปิดเผยว่า “มิตซูบิชิ เอลเลเวเตอร์ ประสบความสำเร็จและได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภค จึงเป็นผู้นำตลาดลิฟต์และบันไดเลื่อนบนมาตรฐานความปลอดภัยระดับโลก ที่มีจุดแข็งด้านบริการหลังการขายมายาวนานกว่า 40 ปี ในโอกาสก้าวสู่ปีที่ 41 ยังยึดมั่นนโยบายการดำเนินธุรกิจบนมาตรฐานความปลอดภัยและเน้นคุณภาพ ทั้งด้านการติดตั้งระบบที่ดีเยี่ยมและการบริการหลังการขายที่รวดเร็ว ด้วยทีมวิศวกรและช่างผู้เชี่ยวชาญ อันเป็นการมอบความมั่นใจในการบริการทุกขั้นตอนแก่ลูกค้า
ปัจจุบัน มิตซูบิชิ เอลเลเวเตอร์ มีศูนย์บริการหลังการขายจำนวน 22 แห่ง ทั่วประเทศ ซึ่งในปี 2561 นี้ได้มีการเพิ่มศักยภาพในการให้บริการด้วยการเปิดศูนย์บริการอีกจำนวน 6 แห่ง ทั้งในเขตกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ได้แก่ ศูนย์บริการอุดมสุข, ศูนย์บริการรัชดาภิเษก, ศูนย์บริการนนทบุรี, ศูนย์บริการนครปฐม, ศูนย์บริการระยอง และศูนย์บริการโคราช รวมทั้งหมดเป็น 28 แห่ง เพื่อขยายการบริการให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ช่วยลดระยะทางและเวลาในการเดินทางของทีมวิศวกรและช่างผู้เชี่ยวชาญ เมื่อได้รับเเจ้งเหตุ ลิฟต์, บันไดเลื่อน หรือทางลาดเลื่อน เกิดการขัดข้อง จะสามารถเดินทางไปถึงจุดหมาย เฉลี่ยแล้ว ภายใน 1 ชม.เท่านั้น โดยมีศักยภาพเพียงพอที่จะดูแล ลิฟต์, บันไดเลื่อน และทางลาดเลื่อน ซึ่งอยู่ในสัญญาบริการกว่า 15,000 เครื่อง ทั้งนี้ คาดว่า ภายในปี 2563 นี้ จะมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นถึง 20,000 เครื่องอย่างแน่นอน
มิตซูบิชิ เอลเลเวเตอร์ ให้ความสำคัญต่อการติดตั้ง ลิฟต์, บันไดเลื่อน และทางลาดเลื่อน โดยมุ่งรักษาคุณภาพและตระหนักถึงความปลอดภัยแบบองค์รวมทั้งระบบ ได้แก่ พนักงาน ทีมช่างติดตั้ง ผู้รับเหมา รวมไปถึงผู้ใช้งาน ซึ่งตรงตามมาตรฐานรับรองคุณภาพด้านความปลอดภัย ISO 18001 ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีระบบ Safety Patrol ที่กำหนดให้ หัวหน้าผู้รับเหมา หน่วยงานจากแผนกตรวจสอบคุณภาพและความปลอดภัย และ ทีมผู้บริหารระดับสูงของ มิตซูบิชิ เอลเลเวเตอร์ ต้องเข้าไปตรวจสอบสถานที่ติดตั้งจริงในทุกๆ โครงการ อย่างน้อย 1 ครั้ง เพื่อเป็นการควบคุมคุณภาพอย่างมีประสิทธิภาพ ที่ผ่านมา พบว่า สถิติอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นระหว่างการทำงานเป็น “ศูนย์” และ สถิติ Defect ของงานมีน้อยกว่า 0.07% มร. มุเนอิสะ กล่าวและเพิ่มเติมว่า สำหรับโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกหรือ EEC ทำให้ความต้องการใช้ลิฟต์และบันไดเลื่อนเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน เนื่องจากมั่นใจว่าจะเกิดการลงทุนในธุรกิจประเภทต่างๆ อาทิ โรงแรม, ที่พักอาศัย, ศูนย์การค้า, อาคารสำนักงาน และโรงงานต่างๆในพื้นที่ นอกจากนี้สนามบินอู่ตะเภาก็มีการปรับปรุงให้สามารถรองรับนักธุรกิจต่างๆ ซึ่งเชื่อว่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจในพื้นที่มีความคึกคัก เม็ดเงินลงทุนเดินสะพัดอย่างมหาศาล ทั้งนี้มิตซูบิชิ เอลเลเวเตอร์ เตรียมแผนรองด้วยการเปิดศูนย์บริการในจังหวัดระยอง เพื่อรองรับการให้บริการในเขตพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ให้มีความสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น
นายสันติพงษ์ บูรณกฤตยกรณ์ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการตลาดและการขาย บริษัท มิตซูบิชิ เอลเลเวเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ ในช่วงปลายปี 2560 ตลาดลิฟต์และบันไดเลื่อนขยายตัวเพิ่มสูงมากขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ เร่งขยายโครงการที่อยู่อาศัย ทั้งในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นย่าน นนทบุรี สมุทรปราการ มีนบุรี กรุงธนบุรี รวมไปถึงแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดต่างๆ อาทิ พัทยา, เชียงใหม่ และ ภูเก็ต เป็นต้น โดยมุ่งเจาะกลุ่มลูกค้าไฮ-เอ็นด์ ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ ลิฟต์ และ บันไดเลื่อน “มิตซูบิชิ” เติบโตตามไปด้วย เพราะสามารถตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าไฮ-เอ็นด์ ที่ให้ความเชื่อมั่นในคุณภาพได้เป็นอย่างดี
ในปีนี้ มิตซูบิชิ เอลเลเวเตอร์ วางแผนรุกตลาดที่อยู่อาศัยทั้งแนวราบและแนวสูง โดยชูจุดแข็งด้านการบริการที่มีความรวดเร็ว ฉับไว มีอัตราการแจ้งซ่อมต่ำ ให้บริการด้วยช่างคุณภาพ มีความรู้ที่ได้รับการฝึกอบรมจากศูนย์ฝึกอบรมนานกว่า 1 ปีก่อนออกปฏิบัติงานจริง และยังคงยึดนโยบายในการมุ่งมั่นพัฒนาให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น จึงทำให้ได้รับความไว้วางใจสูงจากลูกค้าระดับชั้นนำเป็นจำนวนมาก สำหรับการแข่งขันในตลาดลิฟต์และบันไดเลื่อนนั้นมีการแข่งขันค่อนข้างสูง สืบเนื่องมากจากการที่ภาครัฐมีการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้งรายใหญ่และรายย่อยมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยแบรนด์ในตลาดส่วนใหญ่แข่งขันด้านราคา ในขณะที่มิตซูบิชิ เอลเลเวเตอร์ ยึดมั่นด้านคุณภาพ ความปลอดภัยและการบริการหลังการขายเป็นหลัก
สำหรับภาพรวมในปี 2560 ตลาดลิฟต์และบันไดเลื่อนมีจำนวนความต้องการประมาณ 5,200 เครื่อง มีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ประมาณ 8,000 ล้านบาท โดยในปีที่ผ่านมา มิตซูบิชิ เอลเลเวเตอร์ สามารถจำหน่ายลิฟต์และบันไดเลื่อนได้มากกว่า 1,600 เครื่อง เทียบแล้วมีส่วนแบ่งตลาดสูงกว่า 30% ทั้งนี้ คาดว่าในปี 2561 นี้ ตลาดลิฟต์และบันไดเลื่อน จะยังคงเติบโตเพิ่มขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง ระหว่าง 5-7 % และในส่วนของที่อยู่อาศัย ผู้บริโภคยังคงคำนึงถึงคุณภาพผลิตภัณฑ์และการให้บริการหลังการขายเป็นอันดับแรก
นอกจากนี้ ยังมีความมั่นใจว่าตลาดที่อยู่อาศัยและสำนักงานรูปแบบมิกซ์ยูส (mixed-use) จะยังคงมีการขยายตัวมากขึ้น โดยได้รับอานิสงค์จากการขยายระบบคมนาคมขนส่งในกรุงเทพฯ รวมไปถึงภาคของสาธารณสุข (health sector) ที่สถานพยาบาลในเครือต่างๆที่มีการปรับปรุงและขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ อีกทั้งประเทศไทยได้รับการยอมรับและมีชื่อเสียงในด้านสาธารณสุข จนกลายเป็นศูนย์กลางแห่งสถานพยาบาลและการรักษาโรคในภูมิภาค จากแนวโน้มที่ตลาดเติบโตอย่างต่อเนื่อง มิตซูบิชิ เอลเลเวเตอร์ จึงมุ่งมั่นที่ ก้าวสู่ผู้นำในธุรกิจลิฟต์และบันไดเลื่อน พร้อมพัฒนาคุณภาพและการให้บริการได้ตรงใจผู้บริโภค สืบต่อจากปีที่ 41 สู่ปีต่อๆ ไปอย่างไม่หยุดยั้ง” นายสันติพงษ์ กล่าวสรุปในที่สุด