เปิดแผนธุรกิจ “แลนด์แอนด์เฮ้าส์” ปีวัวกระทิง 2564 ตั้งเป้าขาย 28,000 ล้านรับรู้รายได้ 30,000 ล้านบาท งบลงทุน 11,000 ล้าน
เปิดแผน “แลนด์แอนด์เฮ้าส์” ลุยอสังหาฯปีวัวกระทิง ปี 64 วางยอดขาย 28,000 ล้าน และเป้าหมายรับรู้รายได้ 30,000ล้านบาท เตรียมงบลงทุน 11,000 ล้าน แบ่งเป็นงบซื้อที่ดินสร้างที่อยู่อาศัย 6,000 ล้าน และที่ดินพัฒนาอสังหาฯให้เช่า 5,000 ล้าน เปิดโครงการใหม่ 12 โครงการ มูลค่า 20,660 ล้านบาท สรุปผลการดำเนินงาน ปี 2563 เปิดโครงการใหม่ไปแล้ว 16โครงการ มูลค่า 28,620 ล้าน เตรียมงบลงทุน 11,000 ล้าน “ซื้อที่ดินพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยประมาณ 4,600 ล้าน และงบลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่า 2,200 ล้านบาทในโครงการเทอร์มินอล 21 และธุรกิจโรงแรมและอพาร์ทเมนต์ 1,300 ล้าน พร้อมเปิดโครงการมิกซ์ ยูส “แกรนด์ เซ็นเตอร์พ้อยท์ ลุมพินี อาคารสำนักงาน 13,000 ตารางเมตร โรงแรม 512 ห้อง บนที่ดิน 6.2 ไร่ มูลค่า 4,800 ล้าน ตัดขายอพาร์ทเมนท์ในอเมริกาฟันกำไร 416 ล้าน นายนพร สุนทรจิตต์เจริญ ประธานคณะกรรมการบริษัท และนายอดิศร ธนนันท์นราพูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยแผนการดำเนินงานของบริษัทในปี 2564 พร้อมสรุปผลการดำเนินงานในปี 2563 ที่ผ่านมาว่า ในปี 2564 บริษัทฯ ได้เตรียมงบลงทุนไว้ทั้งหมดประมาณ 11,000ล้านบาท แบ่งเป็นงบสำหรับการซื้อที่ดินเพื่อการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยประมาณ 6,000 ล้านบาท และเป็นงบลงทุนด้านอสังหาริม ทรัพย์เพื่อการให้เช่าอีกจำนวน 5,000 ล้านบาท และมีแผนที่จะออกหุ้นกู้อีกจำนวน 12,000 ล้านบาท โดยแผนการดำเนินงานของบริษัทฯในปีนี คาดว่าณ สิ้นปี 2564 บริษัทฯจะมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับเมื่อสิ้นปี 2563 โดยจะมีต้นทุนทางการเงินเฉลี่ยลดลงกว่าระดับเฉลี่ย ณ สิ้นปี 2563 เล็กน้อย
อย่างไรก็ดีนับจากต้นปี 2564 บริษัทจะมีโครงการที่เปิดดำเนินการทั้งหมด 75 โครงการ แยกเป็นโครงการในเขตกทม.และปริมณฑลจำนวน 45 โครงการ ต่างจังหวัด30โครงการ โดยในปี 2564 นี้ บริษัทมีแผนการดำเนินงานเปิดโครงการใหม่ 12 โครงการ มูลค่ารวม 20,660 ล้านบาท แบ่งแยกเป็นโครงการในเขตกทม. และปริมณฑล 11 โครงการ และต่างจังหวัด 1โครงการ ส่งผลให้บริษัทมีการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว 5 โครงการ, บ้านแฝด 2 โครงการ, ทาวน์เฮ้าส์ 5โครงการ และคอนโดมิเนียม 2 โครงการ รวมจำนวนโครงการที่เปิดดำเนินการทั้งสิ้น 87 โครงการ
ส่วนเป้าหมายยอดขายในปี 2564 บริษัทตั้งเป้ายอดขาย(Booking) รวม 28,000 ล้านบาทและยอดโอนกรรมสิทธิ์มูลค่ารวม 30,000 ล้านบาท ราคาเฉลี่ยต่อยูนิตที่ขายในปี 2564 เท่ากับ 7.0 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2563 มีราคาเฉลี่ยต่อยูนิตที่ 7.5 ล้านบาท สำหรับสัดส่วนของยอดขายในปี 2564พิจารณาตามมูลค่าจำแนกตามประเภทที่อยู่อาศัย จะเป็น บ้านเดี่ยวและบ้านแฝด 78%,ทาวน์เฮ้าส์ 13%,คอนโดมิเนียม 9%
อย่างไรก็ตามในส่วนของแผนการลงทุนในการซื้อที่ดินเพื่อรองรับการขยายตัวในอนาคต ในทำเลต่างๆ ในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด งบประมาณรวม 6,000 ล้านบาทนั้น บริษัทจะพิจารณาซื้อที่ดินทำเลที่สามารถนำมาพัฒนาโครงการได้ทันทีและมีศักยภาพที่ดี
ส่วนการดำเนินงานในปี 2563 ที่ผ่านมานั้น ประธานคณะกรรมการ และกรรมการผู้จัดการ บริษัทฯให้ข้อมูลว่า บริษัทเปิดโครงการไป 16 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 28,620 ล้านบาท เป็นเม็ดเงินที่ซื้อที่ดินรวม 4,600 ล้านบาท, มีการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่า มูลค่ารวม 2,200 ล้านบาท พร้อมออกหุ้นกู้ มูลค่ารวม 8,400 ล้านบาท ระยะเวลา 2-3 ปี อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 2.29% ต่อปี
นอกจากนี้บริษัท LHMH ได้ดำเนินการพัฒนาโครงการอีก 1โครงการ คือโครงการแกรนด์ เซ็นเตอร์พ้อยท์ ลุมพินี (Grande Centre Point Lumpini) บนที่ดิน 6-2-73.5 ไร่ ในรูปแบบมิกซ์ยูส (Mixed Use) ประกอบด้วย โรงแรม จำนวน 512 ห้อง อาคารสำนักงาน 13,000 ตารางเมตร มูลค่าการลงทุน 4,830 ล้านบาท แล้วเสร็จประมาณไตรมาสแรก ปี 256 ขณะเดียว กันบริษัท LH USAได้ขายโครงการอพาร์ทเมนท์ The Mode Residence ในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ให้กับบุคคลที่ไม่มีความสัมพันธ์กับบริษัท ในราคา 80.05 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทย ประมาณ 2,415 ล้านบาท โดยมีกำไรก่อนภาษีประมาณ 13.77 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 416 ล้านบาท
ทั้งนี้หากดูฐานะการเงินของบริษัทฯ ณ สิ้นปี 2563 บริษัทและบริษัทย่อยมีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิจำนวน 47,000 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนอยู่ที่ประมาณ92%และต้นทุนทางการเงินเฉลี่ยอยู่ที่ 2.3% ซึ่งในปี 2563 บริษัทฯ มีรายจ่ายด้านการลงทุนประมาณ 6,800 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นรายจ่ายในการซื้อที่ดินเพื่อการพัฒนาที่อยู่อาศัย 4,600 ล้านบาท และรายจ่ายในการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่า มูลค่ารวม 2,200 ล้านบาท ประกอบด้วย การลงทุนในการพัฒนาโครงการ Shopping Mall-Terminal 21 จำนวน 900ล้านบาท และการลงทุนในธุรกิจโรงแรมและอพาร์ทเมนต์ จำนวน 1,300 ล้านบาท
ย้อนดูภาวะตลาดที่อยู่อาศัยปี ม.ค.-ต.ค. 2563
ทั้งนี้ตลาดที่อยู่อาศัยโดยรวมในปี 2563 จากตัวเลขโดยรวมของบ้านจดทะเบียนเพิ่มเฉพาะประเภทจัดสรร ตั้งแต่ม.ค.–ต.ค. 2563 ยอดบ้านจดทะเบียนเพิ่มประเภทจัดสรร มีจำนวนรวมทั้งหมด 74,931 หน่วย ลดลง 9.5%เทียบกับช่วงเวลา 10 เดือน ของปี 62 ที่มีจำนวน 82,818 หน่วย ประมาณการบ้านจดทะเบียนเพิ่มเฉพาะที่จัดสรรที่เกิดขึ้นทั้งปี 2563มีจำนวนรวม 87,350 หน่วย ลดลง 10.7% เมื่อเทียบกับทั้งปี 2562 ประเภทจัดสรร มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 97,838 หน่วย
อย่างไรก็ตามมีบ้านจดทะเบียนเพิ่ม เฉพาะประเภทจัดสรร ในช่วง10 เดือนของปี2563 และประมาณการรวมของปี 2563 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปี 2562 จำแนกตามประเภทที่อยู่อาศัย เฉพาะที่จัดสรรมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือ ประเภทบ้านเดี่ยว ในช่วง 10 เดือน มีจำนวนรวม 8,777 หน่วย ลดลง 27.9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2562 ที่มีจำนวน 12,169 หน่วย ประมาณการรวมทั้งปี 63 มีจำนวนรวม 10,550 หน่วย ลดลง 22.2 %เมื่อเทียบกับทั้งปี 62 ที่มีจำนวนรวม 13,552 หน่วย
ส่วนประเภทบ้านแฝด ในช่วง 10 เดือน มีจำนวนรวม2,113 หน่วย ลดลง 17.4% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 62 ที่มีจำนวน 2,559หน่วย ประมาณการรวมทั้งปี63 มีจำนวนรวม 2,550 หน่วย ลดลง 15.7% เทียบกับทั้งปี 62 ที่มีจำนวนรวม 3,024 หน่วย
ขณะที่ประเภททาวน์เฮ้าส์และอาคารพาณิชย์ ในช่วง 10 เดือน มีจำนวนรวม 13,483 หน่วย ลดลง 23.3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี62 ที่มีจำนวน 17,580 หน่วย ประมาณการรวมทั้งปี 63 มีจำนวนรวม 16,350 หน่วย ลดลง 23.1% เมื่อเทียบกับทั้งปี 62 ที่มีจำนวนรวม 21,274 หน่วย
รวมทั้งประเภทคอนโดมิเนียมในช่วง 10 เดือน มีจำนวนรวม 50,558 หน่วย การเปลี่ยนแปลงค่อนข้างคงที่ เมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันของปี 62 ที่มีจำนวน 50,510 หน่วย ประมาณการรวมทั้งปี 63 มีจำนวนรวม 57,900 หน่วย ลดลง 3.5% เมื่อเทียบกับทั้งปี 62 ที่มีจำนวนรวม 59,988 หน่วย
ภาวะตลาดที่อยู่อาศัยอาคารชุดในปี2563
ภาวะตลาดที่อยู่อาศัย ประเภทอาคารชุด ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ในปี 2563 จากการสำรวจตลาดของบริษัท สรุปสาระสำคัญๆนั้น มีจำนวนหน่วยที่ขายได้ ทั้งหมด 23,445หน่วย มูลค่า 92,305 ล้านบาท ลดลงจากปี 2562 ร้อยละ 31.0 เมื่อเทียบมูลค่ากับปี 2562
ในปี 2563 มูลค่าที่ขายได้ รวมทั้งสิ้น 92,305 ล้านบาท มีสัดส่วนการขายที่เกิดจาก โครงการใหม่(New Projects) มูลค่ารวม 18,166 ล้านบาท ลดลง 71.6% เมื่อเทียบกับปี2562ที่มีมูลค่ารวม 63,884 ล้านบาท และโครงการเก่า (Existing Projects) มูลค่ารวม 74,139 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.2% เมื่อเทียบกับปี 2562
อย่างไรก็ดีภาวะซัพพลาย (Supply) คงเหลือ ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ณ สิ้นปี 2563 มีจำนวนโดยรวมทั้งหมด 71,022 หน่วย มูลค่ารวม 326,742 ล้านบาท โดยจำนวนหน่วยที่เหลือมากสุด คือในระดับราคา ต่ำกว่า 2.5 ล้านบาท ที่มีจำนวนหน่วยเหลือขาย รวมทั้งหมด 30,157หน่วย คิดเป็นร้อยละ 42.5 ของจำนวนที่เหลือทั้งหมด แต่หากพิจารณาตามมูลค่า ปรากฎว่า ระดับราคาที่ 2.5 – 5.0 ล้านบาท มูลค่ารวม 79,019 ล้านบาท และระดับราคาที่ 5.01-10.0 ล้านบาท มูลค่ารวม 75,692 ล้านบาท มีสัดส่วนที่สูงถึง 24.2% และ23.2 % ของมูลค่ารวมทั้งหมด ตามลำดับ