ศาลแพ่งพระโขนง และ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด หรือ SAM ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ในโครงการ “สามประสานร่วมใจไกล่เกลี่ย ช่วยเหลือผู้ประสบภัยโควิด” โดยให้ SAM เป็นที่ปรึกษาทางการเงินในการปรับโครงสร้างหนี้ ให้กับภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด
นายอดุลย์ ขันทอง อธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งพระโขนง เปิดเผยว่า โครงการ “สามประสานร่วมใจไกล่เกลี่ย ช่วยเหลือผู้ประสบภัยโควิด” นับเป็นครั้งแรกที่ศาลยุติธรรมและสถาบันการเงิน ร่วมมือกันให้ความช่วยเหลือภาคธุรกิจ SMEs โดยให้ SAM เป็นที่ปรึกษาทางการเงินแนะนำแนวทางในการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้เพื่อนำไปใช้ประกอบการเจรจากับสถาบันการเงินเจ้าหนี้ในชั้นไกล่เกลี่ยข้อพิพาทก่อนดำเนินคดี หรือเรียกว่าการไกล่เกลี่ยก่อนฟ้อง ซึ่งโครงการนี้นับเป็นโครงการสำคัญที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การระงับข้อพิพาทตามพระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ. 2562 และแผนยุทธศาสตร์สำนักงานศาลยุติธรรม พ.ศ.2561-2564 รวมถึงนโยบายของท่านประธานศาลฎีกาอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคู่กรณีไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลหรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ แต่อย่างใด สามารถดำเนินการได้ด้วยตนเอง ขณะเดี่ยวกัน ด้วยปัจจุบันเป็นศาลยุคดิจิทัล ศาลแพ่งพระโขนงจึงจะนำระบบ“ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทออนไลน์” มาใช้ประกอบการดำเนินโครงการนี้ด้วย เพื่อสนับสนุนการเข้าถึงและการอำนวยความยุติธรรมได้สะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
ด้านนายนิยต มาศะวิสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด หรือ SAM เปิดเผยว่า SAM รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนสำคัญของโครงการ ซึ่งความร่วมมือระหว่าง SAM และศาลแพ่งพระโขนงในครั้งนี้ จะช่วยเปิดโอกาสให้ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 มีโอกาสได้รับ คำแนะนำถึงแนวทางการปรับโครงสร้างหนี้ที่เหมาะสม เพื่อนำไปใช้ประกอบการเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทกับสถาบันการเงินเจ้าหนี้ได้ต่อไป โดยโครงการนี้จะเริ่มดำเนินการตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 30กันยายน 2563 ซึ่ง SAM จะจัดเจ้าหน้าที่คอยให้คำปรึกษา แนะนำแนวทางการปรับโครงสร้างหนี้ที่เหมาะสมกับธุรกิจของลูกหนี้แต่ละราย ซึ่งจะเพิ่มโอกาสให้การเจรจากับเจ้าหนี้สถาบันการเงินมีข้อยุติได้โดยเร็ว และช่วยให้ลูกหนี้ SMEs มีโอกาสกลับไปดำเนินธุรกิจ และประกอบอาชีพของตนเองได้ตามปกติต่อไป