ปั้นเมืองมีนรับรถไฟฟ้า 2 สาย-ขยายเมืองกทม.สร้างคลองระบายน้ำแก้ปัญหาน้ำท่วม-หลาก เชื่อมเขตเศรษฐกิจพิเศษฯ EEC

ชงแผนพัฒนาเมืองมีน ฝั่งตะวันออก 6 เขตหลังรถไฟฟ้าสายสีส้ม และสายสีชมพู เปิดใช้ รับการขยายเมืองกทม. บนพื้นที่ 3 แสนไร่เชื่อมโยงกับเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EECเชื่อมีประชากรอาศัยเพิ่ม 500,000 คน ในระยะเวลาอันสั้น พร้อมวางแผนแก้ปัญหาน้ำท่วม-น้ำหลาก สร้างคลองระบายน้ำขนาดใหญ่ ความกว้าง 300เมตร รูปแบบ Water highway จากปทุมธานี กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ ผันน้ำลงอ่าวไทย ต้องระบายน้ำได้ถึง2,500ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีเป็นอย่างน้อย สร้างถนน 6 เลน แนวคันคลองทั้งสองฝั่ง เอื้อประโยชน์ด้านการขนส่งสินค้าหรือการเดินทางเหนือลงใต้

มูลนิธิคนรักเมืองมีน ร่วมกับหอการค้าไทย-จีน กรุงเทพมหานคร ผู้แทนจากหน่วยราชการ นักวิชาการและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ร่วมมือกันด้านวิชาการในนาม “คณะกรรมการศึกษาการพัฒนาเมืองฝั่งตะวันออกของกรุงเทพมหานคร ภายหลังการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีส้มและสายสีชมพู” นำเสนอผลการศึกษาแนวทางแก้ปัญหาน้ำท่วม-น้ำหลาก ในพื้นที่ฝั่งตะวันออก 6 เขตของกรุงเทพมหานคร พร้อมรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในวันที่ 29สิงหาคม 2564

นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ประธานมูลนิธิคนรักเมืองมีน และประธานคณะกรรมการศึกษาการพัฒนาเมืองฝั่งตะวันออกของกรุงเทพมหานคร ภายหลังการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีส้มและสายสีชมพู กล่าวว่า คณะกรรมการฯ ได้ทำการศึกษาแนวทางแก้ปัญหาน้ำท่วม-น้ำหลาก พื้นที่ฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ 6เขต มาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2564เพื่อเสนอแก้ปัญหาน้ำท่วม-น้ำหลาก ในพื้นที่ฝั่งตะวันออก 6 เขตของกรุงเทพมหานคร และในวันนี้ (29สิงหาคม 2564) ได้นำผลการศึกษามานำเสนอต่อประชาชนเพื่อรับฟังความคิดเห็น เพื่อนำไปปรับปรุงผลการศึกษาตามความต้องการของประชาชนต่อไป

สืบเนื่องจากกรุงเทพมหานครได้จัดทำผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร มาตั้งแต่ฉบับที่ 1 ปี 2535 ฉบับที่ 2 ปี 2542 ฉบับที่ 3ปี 2549 และฉบับที่ 4 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันปี2556 (อยู่ระหว่างการแก้ไขปรับปรุงฉบับใหม่ ซึ่งคาดว่าจะประกาศใช้ในปี2564นี้) ได้กำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ฝั่งตะวันออก 6 เขต ได้แก่ เขตคลองสามวา เขตคันนายาว เขตมีนบุรี เขตลาดกระบัง เขตสะพานสูง และเขตหนองจอก ให้เป็นพื้นที่สีขาวทแยงสีเขียว หรือเป็นพื้นที่ฟลัดเวย์รองรับน้ำหลากจากทางตอนเหนือ เป็นระยะเวลายาวนานเกือบ 30 ปี โดยในพื้นที่นี้ยังไม่มีการบริหารจัดการหรือการพัฒนาแนวเส้นทางการระบายน้ำจากทางตอนเหนือของกรุงเทพฯ อย่างเป็นรูปธรรม

ในขณะที่ความเจริญทางเศรษฐกิจในพื้นที่กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออกนี้มีการเติบโตและขยายตัวเพิ่มมากขึ้น จากการที่มีพื้นที่รวมกันมากกว่า 300,000ไร่ มีขนาดใหญ่คิดเป็นสัดส่วนถึง 1 ใน 3 ของพื้นที่ทั้งหมดของกรุงเทพมหานคร มีพื้นที่เชื่อมโยงกับเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ตั้งอยู่ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ และกำลังมีการก่อสร้างรถไฟฟ้า2สาย ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) ซึ่งจะเปิดให้บริการในปี 2565 และรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ศูนย์วัฒนธรรมฯ-มีนบุรี) ซึ่งจะเปิดให้บริการในปี 2567 รวมทั้งยังมีรถไฟฟ้า Airport Link ซึ่งจะปรับรูปแบบเป็นรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม3สนามบิน เชื่อมโยงสนามบินดอนเมือง สุวรรณภูมิ และอู่ตะเภา

จากสภาพแวดล้อมดังกล่าวข้างต้น ได้ผลักดันให้พื้นที่ 6 เขตฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ  มีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางธุรกิจใหม่ของกรุงเทพฯ ในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีส้ม จะทำให้พื้นที่6เขตฝั่งตะวันออก ทำให้การเดินทางเชื่อมโยงกับพื้นที่ฝั่งตะวันตกและกรุงเทพฯ ชั้นใน มายังฝั่งตะวันออกได้รวดเร็วขึ้น จึงทำให้มีการคาดการณ์กันว่า จะมีประชาชนเข้ามาอยู่อาศัยในพื้นที่ฝั่งตะวันออกทั้ง6เขตนี้เพิ่มมากขึ้นจาก 500,000 คน เป็น 1,000,000 คนในระยะเวลาอันใกล้นี้ และจะมีผู้ที่สนใจเข้ามาพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มีการลงทุนทำธุรกิจการค้า และสร้างแหล่งงานรองรับจำนวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้นตามลำดับ

คณะกรรมการฯ ได้ทำการสำรวจความต้องการของประชาชนในพื้นที่6เขต จากกลุ่มตัวอย่างจำนวนมากถึง 3,000 ราย และผู้นำชุมชนอีกกว่า 100 ราย ซึ่งผลการสำรวจความต้องการของประชาชนกว่า70%พบว่า ไม่ต้องการให้พื้นที่ฝั่งตะวันออกเป็นพื้นที่ฟลัดเวย์อีกต่อไป

คณะกรรมการฯ จึงได้ทำการศึกษาแนวทางการบริหารจัดการน้ำท่วม-น้ำหลากจากทางตอนเหนือของกรุงเทพฯ หากเป็นน้ำท่วมคาบ 100 ปี จะมีปริมาณน้ำประมาณ 3,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที หลากมายังพื้นที่ฝั่งตะวันออก และบางส่วนจะท่วมเข้าไปยังกรุงเทพฯ ชั้นใน (ภายในคันกั้นน้ำพระราชดำริ) สร้างความเสียหายให้กับพื้นที่เศรษฐกิจหลายแสนล้านบาท ดังเช่นปี 2529 หรือ 2554 ดังนั้น คณะกรรมการฯ จึงเสนอให้มีการสร้างคลองระบายน้ำขนาดใหญ่ ความกว้าง 300 เมตร เพื่อระบายน้ำอย่างรวดเร็วในรูปแบบ Water highway จากปทุมธานี กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ ลงไปยังอ่าวไทย ซึ่งคลองนี้ ควรระบายน้ำได้ถึง 2,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีเป็นอย่างน้อย

ประโยชน์ของคลองขนาดใหญ่นี้ ในยามฤดูน้ำหลากจะสามารถระบายน้ำอย่างรวดเร็วลงทะเลอ่าวไทย ในฤดูน้ำแล้ง สามารถนำน้ำที่เก็บกักไว้ ไปช่วยไล่น้ำเค็มในการผลิตน้ำประปาได้ หรือนำไปใช้ในพื้นที่การเกษตรได้ นอกจากนั้น คณะกรรมการฯ ยังได้ออกแบบแนวคันคลอง กว้างออกไปข้างละ 100 เมตร เพื่อให้เป็นที่ลุ่มรับน้ำกรณีน้ำหลากเพิ่มมากขึ้น แต่ในช่วงฤดูแล้ง สามารถใช้เป็นคันคลองเป็นพื้นที่สวนสาธารณะ สำหรับการพักผ่อนหย่อนใจ การแข่งขันกีฬาทางน้ำ หรือใช้เป็นพื้นที่ทำการเกษตร และถัดจากแนวคันคลองทั้งสองฝั่ง ได้ออกแบบให้เป็นถนนกว้าง 6เลน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการขนส่งสินค้าหรือการเดินทางอย่างรวดเร็วจากทางตอนเหนือลงใต้

จะเห็นได้ว่า การจัดทำคลองขนาดใหญ่ พร้อมกับแนวคันคลอง และถนน 6เลน ตามที่คณะกรรมการฯ นำเสนอนี้ จะทำให้พื้นที่ฟลัดเวย์ฝั่งตะวันออกของกรุงเทพมหานคร ได้ใช้ประโยชน์เป็นพื้นที่ระบายน้ำท่วม และน้ำหลากได้อย่างแท้จริง

คณะกรรมการฯ นำเสนอให้มีการดำเนินการเป็น2ระยะ ระยะแรก เสนอให้เจ้าของที่ดินในแนว ฟลัดเวย์ ที่มีขนาดตั้งแต่ 100 ไร่ขึ้นไป มีการขุดบ่อหน่วงน้ำ หรือ “แก้มลิง” อย่างน้อย 10% ของพื้นที่ เพื่อช่วยรองรับน้ำในช่วงฝนตกหนัก ก่อนจะระบายไปยังคลองสาธารณะ และในระยะต่อไป เป็นการดำเนินการจัดรูปที่ดิน โดยความร่วมมือของประชาชน หน่วยงานภาครัฐ และนักลงทุน ในการดำเนินการขุดคลองขนาดใหญ่ตามแนวทางดังกล่าวข้างต้น

คณะกรรมการฯ จะทำการสอบถามความคิดเห็นของประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ 6 เขตในวันที่ 29 สิงหาคม 2564 หากแนวคิดการดำเนินการขุดคลองระบายน้ำขนาดใหญ่ดังกล่าวข้างต้น ได้รับความเห็นชอบจากประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่มากพอสมควร คณะกรรมการฯ จะนำเสนอแนวความคิดนี้ให้กับหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการผลักดันให้มีผลในการดำเนินการเป็นรูปธรรมต่อไป

propertychannelกรุงเทพมหานครข่าวอสังหาริมทรัพย์เกาะติดชีวิตคนเมือง
Comments (0)
Add Comment