ครั้งแรกในวงการ 2 นักพัฒนาอสังหาฯ ชั้นนำ ‘พฤกษา’ ผนึกกำลัง ‘ออริจิ้น’ เตรียมผุดโครงการร่วมทุน 3 โครงการ ลุยตลาดอสังหาริมทรัพย์บน Prime Area 3 ทำเล ได้แก่ โปรเจ็คมิกซ์ยูส (Wellness Hotel & Service Apartment) มูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาท คอนโดมิเนียมระดับพรีเมียม มูลค่าประมาณ 2,800 ล้านบาท และ บ้านเดี่ยว มูลค่าประมาณ 980 ล้านบาท มูลค่าโครงการรวม 8,700 ล้านบาท
นายอุเทน โลหชิตพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSH เปิดเผยว่า ‘พฤกษา’ ได้ลงนามในสัญญาร่วมทุนกับ 3 บริษัทในเครือ ‘ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้’ ได้แก่ บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด (มหาชน) หรือ ONEO บริษัท พาร์ค ลักชัวรี่ จำกัด หรือ PARK และ บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI เพื่อก่อสร้างและพัฒนา 3 โครงการ ได้แก่ (1) การร่วมทุนในธุรกิจโครงการมิกซ์ยูส ประกอบด้วย โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ทเมนต์ และศูนย์บริการด้านสุขภาพ ทำเลสุขุมวิท มูลค่าโครงการประมาณ 5,000 ล้านบาท (2) การร่วมทุนเพื่อพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมระดับพรีเมียม ย่านพหลโยธิน มูลค่าโครงการ ประมาณ 2,800 ล้านบาท และ (3) การพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวระดับพรีเมียม ย่านเพชรเกษม มูลค่าโครงการประมาณ 980 ล้านบาท ในอัตราส่วนการลงทุน 50:50
“สำหรับการร่วมทุนเชิงกลยุทธ์ในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ครั้งนี้ นับเป็นข้อตกลงที่ได้รับประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองบริษัท (Win-Win) และจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด จากการนำทรัพยากรและที่ดินของทั้งสองบริษัทที่มีอยู่แล้วมาพัฒนาโครงการ แชร์เทคโนโลยีและโนว์ฮาวโดยนำจุดแข็งของกลุ่ม ‘พฤกษา’ ที่มีความแข็งแกร่งด้านเงินทุน พร้อมมุ่งพัฒนาการอยู่อาศัยที่ “อยู่ดี มีสุข” ด้วยนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยและการดูแลสุขภาพแบบครบวงจร ด้วยการสนับสนุนจากกลุ่มธุรกิจในเครือที่หลากหลาย ทั้งธุรกิจพัฒนาและก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจเฮลธ์แคร์ ได้แก่ โรงพยาบาลวิมุต และโรงพยาบาลเทพธารินทร์ พร้อมด้วยธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่พัฒนาเทคโนโลยีสมาร์ทโฮม MyHaus ตัวช่วยที่ส่งเสริมเรื่องที่อยู่อาศัย ให้ผู้คนมีชีวิตที่ง่ายและสะดวกขึ้น ไปจนถึงการสร้างที่อยู่อาศัยด้วยความใส่ใจในเรื่องสิ่งแวดล้อมด้วยนวัตกรรมแผ่นพรีคาสท์คาร์บอนต่ำจากอินโน พรีคาสท์ในเครือพฤกษา ประกอบกับความเชี่ยวชาญด้านการควบคุมคุณภาพการก่อสร้าง เมื่อผนึกกำลังกับจุดแข็งของ ‘ออริจิ้น’ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality) และอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ จึงเชื่อมั่นว่า ด้วยศักยภาพ และข้อได้เปรียบจากทั้ง ‘พฤกษา’ และ ‘ออริจิ้น’ จะร่วมกันส่งเสริมให้ทั้งสามโครงการร่วมทุนนี้ ประสบความสำเร็จ ส่งมอบความอยู่ดี มีสุขให้กับคนในสังคม และจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ซึ่งความร่วมมือทางธุรกิจครั้งนี้ พฤกษาจะได้ประโยชน์จากการนำที่ดินที่มีอยู่ในมือมาใช้พัฒนาผ่านแบรนด์ใหม่เพื่อสร้างฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น และเป็นการเพิ่มช่องทางเพื่อการสร้างการรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง (Recurring Income) อีกด้วย” นายอุเทนกล่าว
นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร กล่าวว่า การได้พฤกษามาเป็นพันธมิตรร่วมพัฒนาโครงการต่างๆ จะก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนนวัตกรรม เทคโนโลยี องค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญต่างๆ ระหว่างกัน และช่วยให้ยกระดับการพัฒนาคุณภาพการก่อสร้างโครงการ การออกแบบฟังก์ชันและพื้นที่ในอาคาร เติมเต็มความต้องการของการใช้ชีวิตในแต่ละทำเลได้อย่างยอดเยี่ยม
“ในไทยเราอาจไม่ค่อยเห็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่จับมือร่วมทุนกันเอง แต่ในต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น มีความร่วมมือระหว่างผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติ เพราะแต่ละรายต่างก็มีความถนัด ความเชี่ยวชาญในเซ็กเมนท์และทำเลแตกต่างกัน โดยเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ มุ่งมั่นพัฒนาและสร้างสรรค์ฟังก์ชันและนวัตกรรมที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยและการพักผ่อนของคนยุคใหม่ อาทิ การพัฒนาคอนโดสำหรับกลุ่ม Pet Lover การพัฒนาห้องแบบ Duo Space เพดานสูง 4.2 เมตร บ้านเดี่ยวที่ใส่ใจ Universal Design ทางด้านพฤกษาเอง เป็นผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ มีความเชี่ยวชาญในด้านนวัตกรรมการก่อสร้าง และประสบการณ์การพัฒนาโครงการมากมายจึงเชื่อว่าการร่วมมือในครั้งนี้จะสามารถมาช่วยเติมเต็มความถนัดและโอกาสซึ่งกันและกันได้ เราเชื่อมั่นว่าความร่วมมือระหว่างออริจิ้นและพฤกษาในครั้งนี้ จะเป็นมิติใหม่ของวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย ที่บริษัทระดับท็อปของตลาด 2 ราย มารวมพลังกัน พัฒนาทั้งโรงแรม คอนโดมิเนียม และบ้านเดี่ยว ยกระดับการพักผ่อนและการอยู่อาศัยให้แก่ผู้บริโภค” นายพีระพงศ์ กล่าว
สำหรับบริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSH ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย ธุรกิจการให้บริการด้านสุขภาพ และการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวเนื่องกับสองธุรกิจหลัง เพื่อสร้างรายได้ประจำ โดยปัจจุบัน ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบ่งเป็น 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่
(1) กลุ่มผลิตภัณฑ์ทาวน์เฮ้าส์ ซึ่งมีโครงการที่เปิดขายภายใต้ชื่อแบรนด์ ดังนี้ บ้านกรีนเฮาส์ (Baan GreenHaus), บ้านพฤกษา (Baan Pruksa), พฤกษาวิลล์ (Pruksa Ville), เดอะ คอนเนค (The Connect), และ พาทิโอ (Patio)
(2) กลุ่มผลิตภัณฑ์บ้านเดี่ยว ภายใต้ชื่อแบรนด์ เดอะ แพลนท์ (The Plant), ภัสสร (Passorn), และ เดอะ ปาล์ม (The Palm) และ
(3) กลุ่มผลิตภัณฑ์คอนโด ภายใต้ชื่อแบรนด์ พลัม คอนโด (Plum Condo), เดอะ ทรี (The Tree), แชปเตอร์ (Chapter), แชปเตอร์ วัน (Chapter One), เดอะ ไพรเวซี่ (The Privacy) และ เดอะ รีเซิร์ฟ (The Reserve) โดยส่งมอบที่อยู่อาศัยเพื่อคนไทยไปแล้วมากกว่า 260,000 ครอบครัว
สำหรับธุรกิจด้านสุขภาพ มีโรงพยาบาลวิมุต เป็นโรงพยาบาลแห่งแรกของกลุ่มธุรกิจ และในปี 2564 วิมุตฯ ได้เข้าลงทุนในกิจการโรงพยาบาลเทพธารินทร์เพิ่มเติม และ PSH ได้ขยายธุรกิจใหม่ด้านอีคอมเมิร์ซด้วยการก่อตั้งบริษัท ซินเนอร์จี โกรท จำกัด เพื่อใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นเครื่องมือในการขยายธุรกิจ รวมทั้งก่อตั้ง บริษัท อินโน พรีคาสท์ จำกัด เพื่อรองรับความต้องการด้านพรีคาสท์ในตลาดธุรกิจก่อสร้าง และ มีการลงทุนอื่น ๆ เพื่อส่งเสริมและเพิ่มความสามารถในการสร้างผลกำไร สร้างรายได้ประจำอย่างต่อเนื่อง
สำหรับบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย
1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 158 โครงการ (ณ สิ้นไตรมาส 4/2566) เช่น แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (Park Origin), โซ ออริจิ้น (So Origin), ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ (Origin Plug & Play), ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), ออริจิ้น เพลส (Origin Place), ดิ ออริจิ้น (The Origin), เคนซิงตัน (Kensington), แฮมป์ตัน (Hampton),
ออริจิ้น เพลย์ (Origin Play), บริกซ์ตัน (Brixton) และ บริทาเนีย (Britania) รวมมูลค่าโครงการกว่า 240,661 ล้านบาท
2.ธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิส อพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก
3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจให้บริการลูกบ้าน ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และ
4.ธุรกิจเมกะเทรนด์ระยะยาว (Mega Trends) กลุ่มธุรกิจใหม่ที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว เช่น ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจเฮลท์แคร์ ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจด้านการเงิน ธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนท์ ฯลฯ เพื่อยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตของผู้บริโภคแบบครบวงจร