เสริมสินปฏิเสธกรณีถูกกล่าวหา มีส่วนร่วมสร้างรายได้เทียม เอ็นเอ็มจี หวังแต่งงบฯปี 2557-2558 เรียกร้อง กลต.เร่งตรวจสอบหาความจริงให้สังคม แจงเป็นฉาก ตัวเลขค้างรับ มีมาก่อนเข้ารับตำแหน่ง และเริ่มลดลงหลังอดีตผู้บริหาร เร่งรัดให้ดำเนินการ ถามหาจรรยาบรรณกับสื่อเก่าแก่ที่นำเสนอข่าวด้านเดียว ประกาศฟ้องเพื่อปกป้องชื่อเสียงที่ถูกละเมิดอย่างไร้ความเป็นธรรม
สืบเนื่องจากฝ่ายบริหารใหม่ บมจ.เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป หรือ เอ็นเอ็มจี แจ้ง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2561 โดยอ้างถึง คณะบริหารชุดใหม่ที่เข้ามาบริหารตั้งแต่ เดือน กันยายน 2560 ได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาตรวจสอบงบการเงินของบริษัทระหว่างปี 2557 ถึง 2560 และคณะทำงานชุดดังกล่าวได้พบ ความผิดปกติของการบันทึกรายได้ค้างรับที่มีนัยสำคัญ และยังอ้างอีกด้วยว่า หมายเหตุท้ายงบการเงินสำหรับผลประกอบการประจำปี 2560 ซึ่งสอบโดย บริษัท เคพีเอ็มจี ภูมิไชย สอบบัญชี จำกัด ซึ่งมีสาระโดยสรุปว่ามีเหตุอันควรเชื่อได้มีการลงบันทึกรายรับเกินจริงในงบการเงิน อันเป็นเหตุให้บริษัทมีรายได้ค้างรับ ปรากฎในงบการเงินเกินจริง อย่างมีนัยสำคัญ
ต่อมาเมื่อ วันที่ 16 ตุลาคม ที่ผ่านมา มีบุคคลอ้างว่าเป็นผู้ถือหุ้น บมจ.เอ็นเอ็มจี ได้เข้าร้องเรียนต่อ คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(กลต.) ให้เร่งตรวจสอบกรณีดังกล่าว ซึ่งสื่อในกลุ่มเนชั่นนำเสนอข่าวโดยพร้อมเพรียงกัน
ล่าสุดคอลัมน์ มารยาตลาดหุ้น ได้นำเสนอบทความเรื่อง “ เล่ห์ ลับลวง พราง กับการตกแต่งบัญชี NMG” เขียนโดยผู้ใช้นามแฝง”คุณนายเผือก” ในหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ราย 3 วัน(ฉบับ 3412 วันที่ 24-26 มิถุนายน 2561) หนึ่ง ในสื่อเครือเนชั่น โดยเนื้อหาได้พาดพิง อดีตผู้บริหารที่เกี่ยวข้องกับกรณีข้างต้น คือ นายเสริมสิน สมะลาภา อดีตประธานกรรมการบริหาร และ นางสาว ดวงกมล โชตะนา อดีต กรรมการผู้อำนวยการ และกรรมการบริหาร บมจ.เอ็นเอ็มจี ร่วมมีคำสั่งให้ลงบัญชีรายได้เทียมเพื่อแต่งงบการเงิน
ต่อเรื่องนี้ นายเสริมสิน สมะลาภา อดีต ประธานกรรมการบริหาร บมจ.เอ็นเอ็มจี ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า การที่เนื้อหาในบทความดังกล่าว กล่าวหาตัวเองว่าเกี่ยวข้อง กับการสร้างรายได้ค้างรับ นั้น “ผมขอปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ไม่เป็นธรรมนี้อย่างสิ้นเชิง และขอเรียกร้องให้กลต.เร่งตรวจสอบเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพื่อสังคมจะได้รู้ความจริง ” ก่อนลำดับความเป็นมาว่า ตัวเองเข้ารับตำแหน่ง (ประธานกรรมการบริหาร)ในเดือน มีนาคมปี 2558 และออกจากตำแหน่งในเดือนตุลาคม 2559 .
เขาเท้าความว่า เมื่อเข้ารับตำแหน่งได้ตั้งข้อสังเกต ถึงตัวเลขค้างรับ ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในปี 2557 จาก 196 ล้านบาท ในไตรมาสแรก เป็น 425 ล้านบาทในไตรมาสสุดท้ายของปีเดียวกัน ในการประชุมคณะกรรมการบริหาร จากการตรวจสอบภายในยืนยันว่าทุกอย่างปกติ และงบการเงินได้รับการรับรองโดย ผู้สอบบัญชี บริษัท เคพีเอ็มจีฯมาโดยตลอด นับจากปี 2557 ถึงปัจจุบัน
“ ส่วนงานที่รับผิดชอบด้านการขาย ชี้แจงว่า ตัวเลขค้างรับดังกล่าวมาจาก ลูกค้าราชการ ที่การเบิกจ่ายใช้เวลา และ ตัวเลขโฆษณาของ ทีวีดิจิทัล 2 ช่อง ( เนชั่นทีวี 22 และ นาว 26 ) ฝ่ายตรวจสอบภายในและผู้สอบบัญชียืนยันว่าไม่มีอะไรผิดปกติ” นายเสริมสินย้ำ พร้อมกับระบุด้วยว่า การลดลงของตัวเลขค้างรับใน ปี 2559 จาก 958 ล้านบาท ในไตรมาสแรก เหลือ 790 ล้านบาทในไตรมาสสุดท้ายชองปีเดียวกัน สะท้อนว่า ผู้บริหารชุดเดิมไม่ได้นิ่งนอนใจกับตัวเลขค้างรับที่ผู้บริหารปัจจุบันรายงานไปยังตลาดหลักทรัพย์ฯและนำเสนอโดยสื่อในเครือ
อดีตประธานกรรมการบริหาร บมจ.เอ็นเอ็มจี ได้ตั้งข้อสังเกตุว่า เหตุใดหนังสือพิมพ์”ฐานเศรษฐกิจ”สื่อในกลุ่มเนชั่นจึงพุ่งเป้ามาที่อดีตกรรมการเพียง 2 คน และหลังลาออก(ตุลาคม 2559) ตัวเองไม่ได้กลับไปบริหารอีกเลย กระทั่งเกิดการเปลี่ยนคณะผู้บริหาร . และทำไม หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ ซึ่งมีประวัติอันยาวนาน จึงไม่ทำตามหลักจรรยาบรรณของสื่อที่ดี คือ ตรวจสอบข้อมูล 2 ด้านก่อนนำเสนอสู่สาธารณชน ซึ่งในเรื่องนี้ตัวเองจะใช้สิทธิตามกฎหมาย เพื่อปกป้องชื่อเสียงจากการละเมิดของสื่อที่นำเสนอข้อมูลอันเป็นเท็จ อย่างไร้ซึ่งจรรยาบรรณ
อนึ่งก่อนหน้านี้ น.ส. ดวงกมล อดีตผู้บริหาร บมจ.เอ็นเอ็มจี ซึ่งถูกพาดพิงจากกรณีเดียวกัน ได้ออกมาชี้แจงข้อกล่าวหา จากข้อเขียนในหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ โดยสาระสำคัญ คือปฏิเสธข้อความที่พาดพิงว่าเกี่ยวข้องกับการแต่งงบการเงินด้วยการลงรายได้เทียม พร้อมระบุว่า บริษัท เคพีเอ็มจี ทำหน้าที่ผู้สอบบัญชีและรับรองงบของ บมจ.เอ็นเอ็มจี ไปตามมาตรฐานมาโดยตลอดรวมทั้งระหว่างปี 2557-2559 ซึ่งตัวเองร่วมบริหารในฐานะกรรมการบริหารกระทั่งพ้นจากหน้าที่ในปี 2559 และบริษัท เคพีเอ็มจี ยังทำหน้าที่เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
ทั้งนี้อดีตผู้บริหาร บมจ.เอ็นเอ็มจี รายนี้ ยังได้เรียกร้องให้กลต.ตั้งบริษัทผู้สอบบัญชีที่เป็นกลางเร่งดำเนินการตรวจสอบ เพื่อความกระจ่างและเป็นธรรมโดยตัวเองและอดีตผู้บริหารพร้อมให้ข้อมูลอย่างเต็มที่ และยังระบุในคำชี้แจงด้วยว่า ได้มอบหมายให้ทนายดำเนินการฟ้องผู้บริหารหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจและผู้เขียนคอลัมน์ที่ใช้สื่อโจมตีอย่างไร้ซึ่งความยุติธรรม ..