นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ และนายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และพ.ต.อ. สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย ที่ปรึกษาประธานกรรมการ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือรถไฟฟ้าบีทีเอส กล่าวชี้แจงข้อเท็จจริงถึงกรณี การแจ้งข้อกล่าวหาของคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ว่า ข้อกล่าวหาที่เกิดขึ้นได้ส่งผลกระทบกับความเชื่อมั่นของบริษัทฯ อย่างมาก และมีผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมด 13 ราย ทั้งในส่วนของบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด กับ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
โดยเป็นการกล่าวหาในเรื่องกระทำการทุจริตในสัญญาการให้บริการเดินรถ และซ่อมบำรุงโครงการทั้งหมด 3 เส้นทาง ได้แก่ ส่วนต่อขยายสายสุขุมวิท สถานีอ่อนนุช-แบริ่ง , สายสีลม สถานีสะพานตากสิน-วงเวียนใหญ่ และการต่อสัญญาว่าจ้างเดินรถไฟฟ้าในเส้นทางสถานีหมอชิต-อ่อนนุช และสนามกีฬาแห่งชาติ-สะพานตากสิน ซึ่งจะหมดสัญญาสัมปทานในปี 2572 ออกไปอีก
13 ปี เพื่อให้ทั้ง 3 เส้นทางไปสิ้นสุดพร้อมกันในปี 2585
นายสุรพงษ์ กล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้นยังคงเป็นเพียงการแจ้งข้อกล่าวหาจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. เท่านั้น และบีทีเอสยังไม่ถูกฟ้องร้องหรือดำเนินคดีแต่อย่างใด และมีสิทธิที่จะคัดค้านเพื่อแก้ไขข้อกล่าวหาตามกระบวนการของกฎหมาย และทางบริษัทฯ ยินดีให้ความร่วมมือตามกระบวนการทางกฎหมายทุกขั้นตอน
“บริษัทฯ ยืนยันว่าการทำสัญญาจ้างเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายได้ดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และปราศจากการฮั้วประมูลใด ๆ”
บริษัทฯ ทราบว่าก่อนการจ้างในครั้งนี้ ทาง กทม.ได้มีการหารือไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกาในปี 2550
ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกาได้วินิจฉัยโดยสรุปว่า การที่กรุงเทพมหานคร มอบหมายให้ บริษัทกรุงเทพธนาคมดำเนินโครงการ และบริษัทกรุงเทพธนาคม มาว่าจ้างเอกชนเดินรถ โดยได้รับค่าจ้างเป็นการตอบแทน มิใช่การร่วมลงทุนกับเอกชน นอกจากนั้นการทำสัญญาจ้างเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายนี้ได้ผ่านการสอบสวน จากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ในปี 2555 แล้ว โดยหลังสิ้นสุดการสอบสวนในปี 2556 กรมสอบสวนคดีพิเศษและสำนักงานอัยการสูงสุดได้เห็นควรไม่ฟ้องบีทีเอส
นายคีรี กล่าวต่อว่า จากข่าวที่ปรากฏทางสื่อมวลชนว่า ป.ป.ช.แจ้งข้อกล่าวหาอดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครกับพวก 13 คน ซึ่งปรากฏชื่อผมและบริษัทฯ ในความผิดสนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบและความผิดฮั้วประมูล โดยในเนื้อข่าวมีการนำเสนอภาพเอกสารราชการของ ป.ป.ช.และอ้างว่ามาจากแหล่งข่าวระดับสูงของ ป.ป.ช.
วันนี้ขอใช้พื้นที่สื่อแถลงข้อเท็จจริงและทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชน ว่าเรื่องราวดังกล่าว
การดำเนินคดีในเรื่องนี้ของ ป.ป.ช.ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2555 จากการที่ ส.ส.ท่านหนึ่งได้ร้องเรียนต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษและ ป.ป.ช. กล่าวหากรณีที่ กทม.ทำสัญญาจ้างบีทีเอสเดินรถส่วนต่อขยายส่วนที่ 1 โดยเบื้องต้นกล่าวหาว่า กทม.ไม่มีอำนาจดำเนินการ เพราะตามประกาศคณะปฏิวัติกำหนดให้เป็นอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กรมสอบสวนคดีพิเศษในเวลานั้นได้ทำการสอบสวนเสร็จสิ้น และมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องผมและบริษัทฯ เพราะจากพยานหลักฐานไม่มีส่วนใดเกี่ยวข้องกับผม และบริษัทเลย และพนักงานอัยการก็มีความเห็นไม่สั่งฟ้องไปแล้ว
“ส่วนคดีที่อยู่กับ ป.ป.ช. ผมไม่ทราบเรื่อง เพราะไม่เคยแจ้ง หรือเรียกไปให้ข้อมูล จนกระทั่งในช่วงเวลาที่ผมได้แสดงตัวต่อสู้กับเรื่องการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้มที่ไม่ถูกต้อง ผมได้รับทราบข้อมูลจากคุณสุรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ของบริษัทฯ ว่า ป.ป.ช. ได้มีหนังสือเชิญไปให้ข้อมูลเรื่องหุ้นของบีทีเอสที่มีราคาเปลี่ยนแปลงไปในช่วงเวลาที่มีการทำสัญญาว่าจ้างเดินรถ ซึ่งเรื่องนี้ได้ชี้แจงกับ ป.ป.ช. แล้วว่า ราคาที่เปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากบริษัทฯ ได้มีการรวมหุ้น นี่คือเรื่องเดียวที่บริษัทโดยคุณสุรพงษ์ ได้ให้ข้อมูลกับ ป.ป.ช. และเราก็เริ่มมีความรู้สึกแปลกๆ ว่า เรื่องนี้มันจบไปแล้วไม่ใช่หรือ แล้วทำไมยังมีการสอบถามเรื่องนี้อีก จนกระทั่งได้มีหนังสือแจ้งข้อกล่าวหามาที่ผมและผู้เกี่ยวข้อง”
โดยในความรู้สึก ก็เกิดความแปลกใจ แต่ก็ไม่เหนือความคาดหมาย เพราะทราบว่า เรื่องนี้มีความพยายามที่จะดึงเราเข้าไปร่วมถูกดำเนินคดีด้วย แต่การดำเนินการของ ป.ป.ช.ในเรื่องนี้ มีหลายเรื่องที่สร้างความสงสัย เพราะบริษัทฯ และผมเป็นนักลงทุน เป็นเอกชนที่รับจ้างทำงานบริการสาธารณะแทนรัฐบาล เราไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องหรือมีอำนาจหน้าที่ในการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ แต่วันนี้เราถูกแจ้งข้อกล่าวหาว่า ร่วมกับเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งในบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหา ฝ่ายกฎหมายอ่านตั้งแต่บรรทัดแรกจนบรรทัดสุดท้าย ต้องเรียนว่า เรายังไม่ทราบเลยว่า เราไปร่วมกระทำความผิดกับใคร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร และมีพยานหลักฐานใดที่ยืนยันว่าเราไปกระทำความผิด
ดังนั้นจึงได้พยายามค้นหาความจริง และพบว่าเรื่องนี้มีการตั้งอนุกรรมการไต่สวนมาหลายปีแล้ว ซึ่งมีการสอบปากคำบุคคล และรวบรวมพยานหลักฐานจนเสร็จสิ้นแล้ว และนำเสนอต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยมีความเห็นว่า ไม่มีความผิดเห็นควรให้ยุติเรื่อง แต่มีอำนาจบางอย่าง ไม่ต้องการให้เรื่องนี้จบ และต้องดึงบีทีเอสเข้าไปสู่ขั้นตอนการแจ้งข้อกล่าวหา เพื่อเอาชนักปักหลังผม ให้ผมหยุดเรื่องสายสีส้ม แต่คนอย่างผมไม่เคยยอมเรื่องที่ไม่ถูกต้องอยู่แล้ว เรื่องเลยมาจบแบบนี้
จึงอยากให้ทุกท่านเห็นภาพการต่อสู้และผลของการต่อสู้กับความไม่ถูกต้องของผม ผมดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมาหลายสิบปี ผมเป็นนักธุรกิจ เป็นนักลงทุน ซึ่งกำไรที่ผมได้รับมา ผมไม่ได้เอาเปรียบประเทศ ผมตอบแทนคืนสู่ประเทศและสังคม ผมประมูลต่อสู้ด้วยตัวเลขที่แฟร์ๆ ไม่มีการฮั้วกับใคร
เรื่องนี้มันมีขบวนการที่ต้องการให้บีทีเอสได้รับความเสียหายถึงขนาดให้ล้มละลายเลย เริ่มตั้งแต่การไม่จ่ายเงินค่าจ้างเดินรถ และค่าระบบให้บีทีเอสจำนวนกว่า 40,000 ล้านบาท จนบีทีเอสต้องฟ้องศาลบังคับให้ชำระหนี้และศาลปกครองกลางได้พิพากษาแล้วให้ชำระหนี้ แต่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีการชำระ และปล่อยให้พอกพูนมาเป็นจำนวนเกือบ 50,000 ล้านบาทแล้ว หลังจากนั้นก็เอาเรื่องนี้มาเล่นงานเอกชน โดยเฉพาะการสมคบกันเอาข้อมูลของ ป.ป.ช.มาออกข่าว เพื่อหวังให้เกิดผลกระทบต่อธุรกิจและความเชื่อมั่นของบีทีเอส และก็เป็นไปอย่างที่ต้องการ คือ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ราคาหุ้นบีทีเอสเราร่วงลงติดฟลอร์ แต่ด้วยความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เข้าใจเรา ทำให้ราคาขยับขึ้นมายืนที่ใกล้เคียงราคาเดิม จึงอยากถามว่า การที่ผมมาต่อสู้เพื่อความถูกต้องในโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม พวกคุณเล่นงานผมถึงขนาดนี้เลยหรือ
ข้อมูลของ ป.ป.ช.หลุดออกมายังสื่อมวลชนได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่ เป็นข้อมูลในสำนวน แม้กระทั่งหนังสือแจ้งข้อกล่าวหาให้ผม ยังตีตรา “ลับ” แล้วสื่อเอาข้อมูลในสำนวนออกมาเปิดเผยได้อย่างไร แสดงให้เห็นว่า มันมีขบวนการจ้องทำลายบีทีเอสอยู่จริง แล้วเรื่องแบบนี้ ป.ป.ช.ท่านช่วยตอบผมหน่อยว่า เอกสารของ ป.ป.ช.ท่านเอามามอบให้สื่อเพื่ออะไร ต้องการอะไร
“ ผมไม่ได้กลัวการต่อสู้ทางคดี เพราะผมมั่นใจการทำงานของพนักงานทุกคนว่า ทำงานบนพื้นฐานความถูกต้อง ชอบธรรม แต่ที่ทำกันอยู่เวลานี้คือ การใช้ยุทธวิธีแบบสกปรกหรือไม่ ประธาน ป.ป.ช.ต้องหาคนปล่อยข้อมูลนี้ออกมาว่า เป็นใคร มีจุดประสงค์อะไร มิเช่นนั้นผมไม่สามารถเชื่อมั่นในการทำหน้าที่ของท่านได้ และจะให้ผมยอมรับให้คณะกรรมการชุดนี้สอบสวนผมได้อย่างไร ผมคงยอมรับไม่ได้ ”
ถ้าทำกันอย่างตรงไปตรงมา ผมไม่มีความกังวล เพราะไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่ได้สมคบกับใคร ไปทำเรื่อง
ไม่ถูกต้อง ไม่เคยสมคบกับใครไปฮั้วประมูลงาน แต่จากพฤติกรรมที่เรียนมาข้างต้น วันนี้ผมไม่ไว้วางใจ คนที่ทำการสอบสวน ส่วนเรื่องข้อกล่าวหาของ ป.ป.ช.ที่แจ้งมา ได้มอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายทำหนังสือสอบถาม ความชัดเจนการกระทำผิดที่ท่านกล่าวหาผมว่า ไปทำผิดอะไร ที่ไหน เมื่อไร กับใคร ช่วยบอกหน่อย และยืนยันว่าจะเดินรถไฟฟ้าต่อไปไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน