บิทคอยน์ เงินตรานอกกม. จากสวรรค์สู่นรกชั่วพริบตา

 

บิทคอยน์ เงินตรานอกกม.

จากสวรรค์สู่นรกชั่วพริบตา

ตลอดเดือนเศษๆที่ผ่านมาหน่วยงาน ที่ทำหน้าที่กำกับเรื่องเงินๆทองๆ ของประเทศ  ตั้งแต่ กระทรวงการคลัง แบงก์ชาติ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.)  วุ่นอยู่กับการหาแนวทางกำกับ บิทคอยน์ หนึ่งใน สกุลเงินดิจิทัลหรือ คริปโตเคอเรนซี ( crypto currency) ที่กระแสนิยมลามเข้ามาในบ้านเราหลายเดือนแล้ว  เพราะเกรงว่าหากไม่ขยับเสียแต่เนิ่นๆ ปล่อยให้ชาวบ้านลงทุนโดยไม่รู้จะก่อผลเสียมากมาย   

                   

มี 4   เหตุผลที่ คลัง  แบงก์ชาติ กับ กลต. ต้องเปิดไฟแดงโร่ เตือนไม่ให้ชาวบ้านระวัง ก่อนลงทุนในบิทคอยน์ และเงินดิจิทัลสกุลอื่นๆ  

หนึ่ง ไม่มีกฎหมายรองรับ และไม่มีรัฐบาลไหนในโลกรับเป็นสกุลเงินหลัก  (สกุลเงินเถื่อน)  

สอง  ออกโดยไม่มีสำรองเงินตราหนุนหลังเหมือน ธนบัตรปัจจุบัน (เปรียบเหมือแบงก์กงเต็กวันเช็งเม้ง ) 

สาม  อัตราแลกเปลี่ยนสวิงมาก ราวกับ ก้นเหวกับยอดดอย  ปี 2553หนึ่งบิทคอยน์แลกได้ แค่ 1 เซ็นต์สหรัฐฯแต่ปลายปีที่แล้ว หนึ่งบิทคอยน์มีค่าท่ากับ 7,600 ดอลลาร์สหรัฐฯ (นรกเป็นสวรรค์และสวรรค์เป็นนรกได้ในพริบตา)  และ

สี่ พวกแชร์ลูกโซ่เอาบิทคอยน์บังหน้าต้มตุ๋นหากินตามกระแส

แม้แบงก์ชาติ ประกาศห้ามแบงก์พาณิชย์ ทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับสกุลเงินดิจิทัล  และ กลต.บอกว่าการระดมทุนโดยการออกเหรียญโทเคล (ไอซีโอ) ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้น ไม่ใช่ทั้งหุ้นและหลักทรัพย์  หรือนัยหนึ่งคือยังไม่มีสถานะทางกฎหมาย   แต่จุดเด่นของบิทคอยน์รวมทั้งเงินดิจิทัลสกุลอื่น คือ ซื้อขายบิทคอยน์ผ่านระบบบล็อกเชน  (ผู้รู้-ให้ความหมายบล็อกเชนว่า คือ ระบบจัดการฐานข้อมูล สำหรับการยืนยันตัวตน เคลียร์ริ่งธุรกรรม สืบสวนร่องรอย และบันทึกความเป็นเจ้าของในทรัพย์สิน เช่นสกุลเงินอิเล็กทรอนิกส์ : ที่มา www.thaipublica.org)  โดยรูปแบบ คล้ายเป็นการซื้อ-ขายของคนที่อยู่ในวงเดียวกันไม่เห็นหน้ากันแต่ต่างฝ่ายต่างรู้การเคลื่อนไหวซึ่งกันและกัน   ดูแลกันเองมีอิสระคล่องตัวสอดคล้องกับความเป็นไปของเศรษฐกิจดิจิทัล  คุณสมบัติที่โดดเด่น เช่นนี้เอง ภาคธุรกิจจึงขานรับ บิทคอยน์ กันอย่างท่วมท้นทั้งที่เป็นสกุลเงินที่ไม่มีเงินสำรองหนุนหลังเหมือนเงินตราในปัจจุบัน    

ปลายปีที่ผ่านมาสื่อต่างประเทศรายงานว่า  บริษัทอีสต์แมนโกดัก เปิดตัวสกุลเงินดิจิทัลสำหรับนักถ่ายภาพใช้ในการทำธุรกรรมเกี่ยวข้องกับค่าลิขสิทธิ์  หรือ ไลน์คอร์ป กำลังเจรจากับหลายบริษัทเพื่อนำ สกุลเงินดิจิทัลมาใช้บนแพลทฟอร์มของตัวเอง  บ้านเราก็ไม่ตกเทรนด์เช่นกัน  เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัทลูกของเจมาร์ทฯที่อยู่ในตลาดหุ้นออกเหรียญโทเคลชื่อ JFIN CIN  เพื่อนำไปทำระบบเงินกู้แบบบุคคลต่อบุคคล โดยใช้บล็อกเชน    

ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนที่ แบงก์ชาติ ย้ำบ่อยๆ เสี่ยงมากๆเพราะขึ้นลงวูบๆวาบ  แต่โดยธรรมชาติของนักลงทุน ที่อารมณ์มักถูกชักจูงโดยความโลภ   คนพันธุ์นี้ย่อมมองว่า สกุลเงินดิจิทัล เปรียบเหมือนสวรรค์อีกชั้นของการลงทุนโดยแท้  แม้ต้องเสี่ยงเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับการลงทุนในหุ้น หรือ ตราสารการเงินอื่นๆ  แต่ถ้าได้ขึ้นมา  กำไรก็สุดจะจินตนาการเหมือนกัน    แรงจูงใจที่เย้ายวนเยี่ยงนี้เองที่จะหนุนให้ความนิยม บิทคอยน์ และสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ มีโอกาสขยายตัวแม้ธนาคารกลางทั่วโลกติดประกาศว่าเป็นเงินตรานอกกฎหมายก็ตาม   

ทุกวันนี้โลกหมุนรอบตัวเองหนึ่งรอบใช้เวลาเกือบ 24 ชั่วโมงเท่าๆ กับยุคที่กาลิเลโอ พยายามพิสูจน์ว่าโลกกลม  แต่ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงคือ โลกหมุนหนึ่งรอบใน พ.ศ.นี้ มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย   จนผู้คนส่วนใหญ่ ตามไม่ทัน คาดไม่ถึง  ดู…. แค่ภาคการเงิน ปีที่แล้วรัฐบาลประกาศผลักดันๆประเทศไทยสู่สังคมไร้เงินสด ไม่ต้องควักกระเป๋ารอเงินทอนอีกต่อไป ข้ามมาปีหมา  ไม่ทันไร  บิทคอยน์ มาเติมความงงให้ชาวบ้านที่ส่วนใหญ่  ยังใช้ เหรียญ ธนบัตร หรือ บัตรเครดิต เป็นตัวกลางแลกเปลี่ยน ให้หนักยิ่งขึ้นไปอีก 

ที่น่าประหลาดใจคือ ทั้งๆ ที่ บิทคอยน์ ไม่มีตัวตนให้เห็น หรือ สัมผัสในเชิงวัตถุ และถูกสกัดจากรัฐบาลทั่วโลก แต่ระดับความนิยมสกุลเงินดิจิทัลกับขยับขึ้น อย่างพลุ่งพล่าน จนก่อให้เกิด คลื่นคลั่งถาโถมระบบการเงินโลกทั้งใบ   ปรากฎการณ์ บิทคอยน์ ตอกย้ำอีกครั้งว่า อนาคตที่ไม่คุ้นเคยรอเราอยู่

JFIN CINกระทรวงการคลังกลต.ข่าวอสังหาชนิญญา ศาลายาบิทคอยน์สกุลเงินดิจิตอลเงินอิเล็คทรอนิกส์แบงก์ชาติโลกที่เปลี่ยนไปไลน์คอร์ป
Comments (0)
Add Comment