ประเทศ 4.0 ของจริง
ขณะที่รัฐบาลไทยพยายามที่จะผลักดันประเทศให้เข้าสู่สถานะ 4.0 ซึ่งมีความคืบหน้าไปเพียงเล็กน้อย มีรัฐบาลประเทศหนึ่งในโลก ที่ประสบความสำเร็จในการผลักดันประเทศเข้าสู่ยุค 4.0 อย่างรวดเร็วโดยนายกรัฐมนตรีไม่ต้องโฆษณาเป็นรายวัน ประเทศนั้นคือเอสโตเนีย
ประเทศเอสโตเนียอยู่ในยุโรปเหนือ ทิศเหนือติดอ่าวฟินแลนด์ ตะวันตกติดทะเลบอลติก ทิศใต้ติดกับประเทศลัตเวีย ในปีพ.ศ. 2534 ที่เอสโตเนียเพิ่งได้รับอิสรภาพจากสหภาพรัสเซีย มีประชาชนเพียงครึ่งประเทศที่มีโทรศัพท์ใช้ แต่ด้วยความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการก้าวเข้าสู่ยุค 4.0 ในปีพ.ศ. 2540 โรงเรียน 97 % ของประเทศมีอินเตอร์เน็ตใช้ ในปีพ.ศ. 2543 การประชุมคณะรัฐมนตรีไม่ต้องใช้กระดาษจดรายงานการประชุมอีกต่อไปและภายในปีพ.ศ. 2545 ประชาชนทั่วประเทศมีไว-ไฟใช้ฟรี
ภายในปีพ.ศ. 2550 ประชาชนเอสโตเนีย เลือกตั้งโดยใช้ระบบอี-โหวตติ้งและ 5 ปีต่อมารัฐบาลวางเครือข่ายสายไฟเบอร์ออฟติกทั่วประเทศทำให้ประชาชนติดต่อใช้บริการหน่วยงานรัฐผ่านระบบออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะนี้ประชาชน 94 % ได้รับเงินคืนภาษีผ่านระบบดิจิตอลแล้ว
เอสโตเนียเป็นประเทศแรกของโลกที่คนไม่ว่าอยู่ที่ใดบนโลกสามารถสมัครเป็นพลเมืองดิจิตอลของประเทศนี้ได้ โดยผ่านโปรแกรม e-residency สำนักข่าว DW ของเยอรมนี รายงานว่าเอสโตเนียเปิดบริการนี้มา 3 ปีแล้วขณะนี้ มีประชาชน 30,000 คนจาก 143 ประเทศ ตั้ง 3,000 บริษัทและสร้างเงินภาษีแรงงานให้เอสโตเนียแล้ว 2.8 ล้านยูโร (ประมาณ 107.6 ล้านบาท)
บริษัท ดีลอยท์ (Deloitte) ทำการคำนวณและระบุว่าจนถึงเดือนธันวาคมปี 2560 โครงการพลเมืองดิจิตอล สร้างรายได้ที่เป็นตัวเงินให้กับเอสโตเนียแล้ว 14.4 ล้านยูโร (ประมาณ 553.8 ล้านบาท) และภายในปีพ.ศ. 2568 รายได้ที่เป็นตัวเงินจะเพิ่มขึ้นเป็น 2,170 ล้านยูโร (ประมาณ 83,459 ล้าน) ซึ่งเท่ากับผลตอบแทน 100 เท่าจากเงินลงทุนในโครงการ
นาย Michael M. Richardson นักธุรกิจชาวอเมริกันให้สัมภาษณ์ DW ว่าตัวเขาได้สมัครเป็นพลเมืองดิจิตอลเอสโตเนียในเดือนมกราคม 2558 ซึ่งทำได้ง่าย ๆ เพียงกรอกแบบฟอร์มอัพโหลดรูปพาสปอร์ตและจ่ายเงิน 100 ยูโร (ประมาณ 3,846 บาท) ที่สำนักงานรับจดทะเบียน จากนั้นรอการตรวจสอบภูมิหลัง 2 อาทิตย์ก็ได้บัตรพลเมืองดิจิตอลหรือพลเมืองสมือนของประเทศเอสโตเนีย
นาย Richardson ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งกิจการสตาร์ตอัพ E-Drive Retro ที่ให้บริการเปลี่ยนเครื่องยนต์ของรถเก่าคลาสสิกจากเครื่องสันดาปภายในให้เป็นเครื่องยนต์ใช้ไฟฟ้า
หลังจากที่ได้บัตรพลเมืองดิจิตอลเอสโตเนีย Richardson จัดการตั้งสำนักงานสาขากิจการขึ้นที่เมืองทาลลินน์ ซึ่งเป็นเหมืองหลวงของเอสโตเนีย และเมืองเฮลซิงกิของสวีเดน เป็นการขยายกิจการจากสหรัฐอเมริกาเข้าสู่ยุโรปที่สะดวกรวดเร็วที่สุด
นาย Richardson บอกนักข่าว DW ว่า ‘ตอนสมัครเป็นพลเมืองเสมือนของเอสโตเนีย ผมอยู่วอลล์สตรีตที่อเมริกา แต่สามารถทำธุรกิจทั้งในอเมริกาและยุโรปได้อย่างสบายโดยใช้เวลาอยู่ที่ทาลลินน์แค่ไม่กี่วันในหนึ่งปี เพราะในฐานะพลเมืองเสมือนสามารถทำธุรกิจในเอสโตเนียสะดวกมาก ทั้งตั้งบริษัท เช่าอาพาร์ตเม้นท์ ซื้อรถ ติดต่อธุรกิจ เปิดบัญชีธนาคาร เสียภาษีโดยทำผ่านระบบออนไลน์ได้ทั้งหมดไม่ต้องกรอกเอกสารเลย’
รายงานของ DW ระบุว่าการเป็นพลเมืองดิจิตอลสามารถตั้งบริษัทผ่านทางอินเตอร์เน็ต บริหารบริษัทที่ตั้งขึ้นที่เอสโตเนีย จากที่ใดก็ได้ผ่านระบบออนไลน์ แต่ไม่ได้สถานะพลเมืองหรือใช้เป็นที่เลี่ยงภาษีหรือเป็นเจ้าของบ้าน รวมทั้งใช้เดินทางเข้าเอสโตเนียหรือสหภาพยุโรปและจะต้องจ่ายค่าบัตรเป็นเงิน 100 ยูโรทุก 3 เดือน
ดีลอยท์ ระบุว่า เอสโตเนียตั้งเป้าให้ภายในปีพ.ศ. 2564 มีคนทั่วโลกสมัครเป็นพลเมืองดิจิตอล 150,000 คนและตั้งกิจการขึ้นในเอสโตเนีย 20,000 บริษัท ซึ่งจะทำให้เอสโตเนียได้ประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมเป็นตัวเงิน 70,000 ยูโร (ประมาณ 2.67 ล้านบาท) ต่อ 1 บริษัทภายในปีพ.ศ. 2568
เท่านั้นยังไม่พอ รัฐบาลเอสโตเนียยังสนับสนุนเงินดิจิตอลโดยสร้างแพล็ตฟอร์มเอสคอยน์ (Estcoin) และยังออกกฎหมายและสนับสนุนให้มีการทดสอบเทคโนโลยี รถไร้คนขับ บริการเรียกรถ รวมทั้งระบบอัตโนมัติ ปัญญาประดิษฐ์ที่เอสโตเนียเพื่อให้ประเทศเป็นศูนย์ไฮ-เทคของโลก
ประเทศเอสโตเนีย ไปถึงไหนแล้วประเทศไทยไปติดต่อหน่วยงานรัฐบาลยังต้องถ่ายเอกสารบัตรประชาชนกันอยู่เลย
ตัวอย่างบัตร พลเมืองดิจิตอลออกให้โดยทางการประเทศเอสโตเนีย ภาพจาก DW
ภาพ นาย Michael M. Richardson ผู้ก่อตั้ง E-Drive Retro ให้บริการเปลี่ยนเครื่องยนต์รถคลาสสิกเป็นเครื่องใช้พลังงานไฟฟ้า
ตารางแสดงรายได้เป็นตัวเงินและประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคมที่ประเทศเอสโตเนียจะได้จากโปรแกรมพลเมืองดิจิตอลระหว่างปีพ.ศ. 2558-2568 จาก DW