‘สิงห์ เอสเตท’ ลดเป้ารายได้ 50% ยังคงเดินหน้าขยาย 3 ธุรกิจหลักตามแผน โดยธุรกิจที่พักอาศัยและอาคารสำนักงาน จะมีการขยายไปยังทำเลใหม่ๆ สร้างสรรค์โครงการคุณภาพตอบรับโจทย์ New Normal ด้วยรูปแบบธุรกิจ New Living and Working Cluster ส่วนธุรกิจโรงแรม หาช่องสร้างรายได้เพิ่ม ดึงพันธมิตร ด้วยกลยุทธ์ Smart M&A และ Asset Light Modelวางแผน นำอาคารสำนักงานเมโทรโพลิศและพื้นที่ค้าปลีกซันพลาซาเข้ากอง REIT และการออกหุ้นกู้ในอนาคต ยันรักษาสถานะทางการเงินที่มั่นคง พร้อมลงทุนตามแผนเดิม 5ปี ด้วยงบประมาณ 68,000 ล้านบาท
นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ “S” เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจกลุ่มสิงห์ เอสเตท ว่า สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยรวมได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 และสิงห์ เอสเตท ยังคงเดินหน้าลงทุนตามแผนธุรกิจเดิมในระยะเวลา 5ปี (2020-2024) งบลงทุน 68,000 ล้าน ด้วยกลยุทธ์เติบโตอย่างยั่งยืน แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน บริษัทฯ ได้มีการปรับเป้ารายได้รวมในปี 2020 ลดลงประมาณ 50% โดยคาดการณ์ว่าในไตรมาสที่ 4 ธุรกิจโดยรวมจะสามารถฟื้นตัวได้
อย่างไรก็ดี ภายหลังวิกฤตโควิด-19 ผ่านพ้นไปคาดว่าจะเห็นถึงโอกาสทางธุรกิจและการลงทุนใหม่ที่น่าสนใจ โดยบริษัทจะพิจารณาลงทุนตามความเหมาะสมและมีเกณฑ์ที่เข้มงวดในการตัดสินใจลงทุน เพื่อให้ได้สินทรัพย์ที่มีคุณภาพและโอกาสเพิ่มมูลค่าในอนาคต โดยจะเดินหน้าขยาย 3 ธุรกิจหลักตามแผน ซึ่งธุรกิจที่พักอาศัยและอาคารสำนักงาน จะขยายไปยังทำเลใหม่ๆ สร้างสรรค์โครงการคุณภาพตอบรับโจทย์ New Normal ด้วยรูปแบบธุรกิจ New Living and Working Cluster
ส่วนด้านธุรกิจโรงแรม เราจะสร้างรายได้เพิ่มพร้อมมองหาพันธมิตรที่เหมาะสม ด้วยกลยุทธ์ Smart M&A และ Asset Light Model นอกจากจะช่วยให้ธุรกิจฟื้นตัวได้เร็วแล้ว ยังสามารถช่วยเหลือผู้ประกอบการให้ผ่านวิกฤตไปด้วยกัน โดยการดำเนินธุรกิจของสิงห์ เอสเตท ยังคงอยู่บนปรัชญาการดำเนินธุรกิจ สร้างคุณค่าให้ชีวิต มุ่งสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนควบคู่กับการสร้างสังคมที่มีคุณภาพ และดูแลสิ่งแวดล้อมให้สวยงาม
ทั้งนี้ แม้เกิดปัญหาวิกฤตโควิด-19 บริษัทได้เน้นการดูแลและบริหารจัดการทางการเงินให้มีประสิทธิภาพ และรักษาอัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุน (Net interest bearing debt to equity ratio) อยู่ในระดับต่ำ 0.86 เท่า ซึ่งปัจจัยดังกล่าวมาจากการนำบริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รวมทั้งขายสิทธิการเช่า 30 ปี ของอาคารสำนักงานซันทาวเวอร์สให้กับกอง ทรัสต์เพื่อการลงทุนสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เอส ไพรม์ โกรท (SPRIME REIT) จึงทำให้บริษัทฯ มีความพร้อมและสามารถลงทุนขยายธุรกิจตามแผนที่วางไว้ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนเสริมความแข็งแกร่งทางการเงินเพื่อรองรับโอกาสในอนาคต โดยจะนำอาคารสำนักงานเมโทรโพลิศและพื้นที่ค้าปลีกซันพลาซาเข้ากอง REIT รวมถึงการออกหุ้นกู้ในอนาคต
ยืนยันเดินหน้าแผน 5 ปี ลงทุน 68,000 ล้าน
อย่างไรก็ดี บริษัทยั่งคงเกินหน้าตามการลงทุน 5 ปี ด้วยงบ 68,000 ล้านบาท ทั้งนี้ธุรกิจที่พักอาศัย ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯมีสินค้าคงเหลือเพียง 1,000-2,000 ล้านบาท สามารถจัดการได้ และสามารถใช้นโยบายการขายในรูปแบบที่จะช่วยรักษาระดับอัตรากำไรของโครงการได้ โดยในครึ่งปีหลังโครงการ THE ESSE Sukhumvit 36 มูลค่าโครงการกว่า 6,500 ล้านบาท มียอดขายแล้วประมาณ 60% เริ่มโอนกรรมสิทธิ์ได้ในไตรมาส 3ปีนี้ และบริษัทมีแผนจะเปิดโครงการใหม่ 3 – 4 โครงการที่เป็โครงการแนวราบในช่วงครึ่งปีหลัง และยังคงแผนการเปิดโครงการใหม่ต่อปีที่ 5-7 โครงการ
สำหรับธุรกิจอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีก ยังคงตั้งเป้าขยายพื้นที่สำนักงาน 300,000 ตารางเมตร ในระยะเวลา 5 ปี โดยในช่วงโควิด-19 ธุรกิจนี้ได้รับผลกระทบไม่มากนัก และบริษัทฯ ได้มีการปรับปรุงคุณภาพด้านสุขอนามัยโดยติดตั้ง Touchless Solution และ UV ในระบบปรับอากาศเพื่อตอบโจทย์ New Normal ให้กับผู้เช่าอาคารซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำ รวมถึงมองหาผู้เช่าใหม่ๆ ที่อยู่ในธุรกิจที่มีการเติบโตดี เช่น E-commerce, Technology และ Consumer Product
ขณะที่ ธุรกิจโรงแรม ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ต่อเนื่องถึงต้นปีหน้า จะเน้นการกระตุ้นยอดขายตลาดนักท่องเที่ยวในประเทศ และประเทศในกลุ่มภูมิภาคเดียวกัน (Inter region ) โดยเรายังมีแผนลงทุนในกลุ่มเอเชียแปซิฟิก ที่มีศักยภาพสูง ตั้งเป้าขยายธุรกิจจาก 39 โรงแรมเป็น 80 โรงแรม ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ใน 5 ปี
นอกเหนือจากการลงทุนตามแผนที่วางไว้แล้ว บริษัทฯ ยังมุ่งขยายการพัฒนาโครงการที่พักอาศัยและอาคารสำนักงานไปในทำเลรอบเมือง และพัฒนารูปแบบธุรกิจใหม่ ภายใต้คอนเซปต์ “New Living and Working” เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงความต้องการของกลุ่มลูกค้าในอนาคต
โดยสิงห์ เอสเตท เล็งเห็นโอกาสในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่จะขยายตัวออกจากเมืองไปยังทำเลใหม่ๆ ตามการขยายตัวของระบบขนส่งมวลชนและโครงข่ายถนน ซึ่งจะเป็นโครงการแนวราบในรูปแบบมิกซ์ยูส อันประกอบไปด้วย บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม รีเทล ออฟฟิศแนวราบ ตลอดจนโครงการที่อยู่อาศัยแบบ Wellness จะเป็นสิ่งใหม่ๆ ที่มีโอกาสเกิด
ในส่วนธุรกิจอาคารสำนักงาน บริษัทฯ เชื่อว่าในอนาคตจะยังคงมีความต้องการพื้นที่สำนักงานอยู่ในรูปแบบต่างๆ โดยบริษัทฯ พร้อมนำเสนอพื้นที่สำนักงานรูปแบบใหม่ “Workspace Solution” โดยมีหลายรูปแบบและหลายทำเล ทั้งอาคารขนาดใหญ่ อาคารขนาดกลาง ออฟฟิศแนวราบ ตลอดจน Co-Working Space ในทำเลใหม่ โดยเน้นเชื่อมโยงการทำงานผ่านระบบ IT ให้ลูกค้าในทุกที่ โดยบริษัทฯ จะเปิด Workspace ใน Concept ใหม่ ในปลายปีนี้ ที่อาคารซันทาวเวอร์ส เพื่อรองรับผู้เช่าที่ต้องการปรับพื้นที่การทำงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
วางกลยุทธ์ Smart M&A และ Asset Light Mode สร้างพอร์ทโฟลิโอคุณภาพ
โดยนายเดิร์ก อังเดร ลีน่า คุยเบอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในการขยายธุรกิจโรงแรมยังคงแผนตามเป้าหมายระยะยาวที่กำหนดไว้ โดยเชื่อว่าการท่องเที่ยวจะค่อยๆ ฟื้นตัวในไตรมาส 4 ของปีนี้ เริ่มจากในประเทศไทย และกลุ่มประเทศที่มีระบบสาธารณสุขที่ดี และควบคุมอัตราผู้ติดเชื้อได้ดี ในช่วงวิกฤตแม้ว่าธุรกิจโรงแรมจะได้รับผลกระทบมาก แต่โอกาสทางธุรกิจก็ปรากฎชัดเจนมากขึ้นเช่นกัน บริษัทฯ ยังคงดำเนินการตามกลยุทธ์ Smart M&A โดยมุ่งลงทุนโรงแรมที่อยู่ในแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม ปรับปรุงเพิ่มศักยภาพให้กับ Asset ตลอดจนการ Recycle Capital ผ่านการขายโรงแรมเข้ากอง REIT หรือผู้ซื้อที่ให้มูลค่าที่ดี รวมถึงการดำเนินกลยุทธ์ Asset Light Model ที่จะสร้างรายได้เพิ่มจากการรับจ้างบริหารโรงแรมผ่าน Home Grown Brand ซึ่งขณะนี้มีความคืบหน้าไปมากแล้ว และคาดว่าจะเริ่มได้อย่างจริงจังในช่วงปีนี้ต่อเนื่องปีหน้า ปัจจุบันนี้ SHR ได้พัฒนาแบรนด์ SAii เป็นแบรนด์โรงแรมแรกของบริษัทฯ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“SHR ตั้งเป้าที่จะขยายจำนวนโรงแรมเป็น 2 เท่า จาก 39 แห่ง ทั่วโลกในปัจจุบัน เป็น 80 แห่ง ภายในเวลา 5 ปีโดยมุ่งเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวในระดับบน (Upper Upscale Segment) และมอบประสบการณ์การพักผ่อน ในรูปแบบที่แตกต่างและสร้างสรรค์ให้กับลูกค้า นอกจากนี้ SHR ได้พัฒนาแบรนด์ใหม่ที่จะเปิดตัวในเร็วๆนี้ เป็นโมเดลธุรกิจในแบบ Asset Light Model ที่จะช่วยสร้างรายได้ประจำให้มากขึ้น และเพิ่มการเติบโตของพอร์ตโฟลิโอ โดยไม่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนสูง”
ชู Global Holding Company รุกธุรกิจตอบโจทย์อนาคต
ทั้งนี้ สิงห์ เอสเตท ยังคงเดินหน้าตามกลยุทธ์การเป็น Global Holding Company ตามแผนที่วางไว้ปี 2020 นอกจากนี้แล้วบริษัทฯ ยังเล็งเห็นโอกาสลงทุนในธุรกิจใหม่ คือ พลังงานทางเลือก (Renewable Energy) โดยโครงการแรกที่จะเริ่มอยู่ที่ประเทศมัลดีฟส์ มีขนาด 5 เมกะวัตต์ ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของบริษัทในธุรกิจอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
สำหรับกลยุทธ์ในการสร้างความเชื่อมั่นแบรนด์ของบริษัทฯ ให้เป็น Most Trusted Brand นั้น นอกจากการพัฒนาโครงการให้มีคุณภาพสูงสุดแล้ว เรายังต่อยอดความเชี่ยวชาญจากกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนที่สร้างมาตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ จนเป็นที่ยอมรับจากสังคม โดยเฉพาะการดูแลสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมคุณภาพชีวิต และนำมาประยุกต์ใช้ในการสร้างแต้มต่อทางธุรกิจ รวมทั้งยกระดับการบริการของกลุ่มธุรกิจทั้งหมดให้เป็นไปตามมาตรฐานด้านสุขอนามัยและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในระดับสากล
“สิ่งสำคัญที่สิงห์ เอสเตท ยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจ คือ การดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม ช่วยเหลือพันธมิตรสร้างสังคมไทยที่มีคุณภาพ และร่วมมือกับภาครัฐและบริษัทอื่นๆ เพื่อต่อสู้วิกฤตโควิด-19 ที่สำคัญคือการสนับสนุนชุมชนในทุกแห่งที่ธุรกิจเราตั้งอยู่ เพื่อช่วยให้คนไทยสามารถผ่านวิกฤตโควิด-19 ไปได้อย่างแข็งแรงและมั่นคง”นายนริศ กล่าวเสริม