Luxury ผู้นำทางด้านเครื่องนอน อันดับ 1 ของประเทศที่ส่ง หมอนให้กับโรงแรม 5ถึง 6 ดาวทั่วประเทศ วันนี้ Luxury ไม่ได้หยุดนิ่งในการพัฒนาธุรกิจ และผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ตอบสนองความต้องการผู้บริโภคให้มากขึ้น ภายใต้การนำของ คมศานต์ จิวากานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีลักซ์ โฮเทล ซัพพลาย จำกัด ซึ่งได้นำประสบ การณ์จากการบริหาร และทิศทางการแข่งขันในตลาดมาปรับประยุกต์ จนได้ผลิตภัณฑ์ที่มั่นใจว่าจะเป็นสินค้าที่มีนวัตกรรม ที่มีความต่าง ต่อยอดหมอนโรงแรม 6 ดาว
คมศานต์ จิวากานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีลักซ์ โฮเทล ซัพพลาย จำกัดกล่าวว่า ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่บริษัทวิจัย และพัฒนา (R&D)ขึ้นมาเป็นผลลัพธ์มาจากการได้จากประสบการณ์ที่สั่งสมมาในตลาดเครื่องนอน ซึ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาพบว่า หมอนเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ว่าผู้ประกอบการรายใดก็สามารถทำได้ อีกทั้งการตลาดบนโลกก็ยังมาแรงเป็นอย่างมาก โดยที่บางรายไม่มีหน้าร้าน ไม่ต้องมีการลงทุนอะไรเพียงแค่นำภาพมาโพสต์ขาย และอธิบายถึงฟังก์ชันการใช้งานก็จำหน่ายได้แล้ว คู่แข่งขันในตลาด จึงมีมาก อีกทั้งยังใช้คุณสมบัติของหมอนแบบเดียวกันมาสร้างจุดขายอีก
ทั้งนี้ เมื่อมองเห็นถึงปัญหาทางการตลาดที่เกิดขึ้น แม้ว่าแบรนด์จะยังคงรักษาความเป็นผู้นำตลาดไว้ได้อยู่ ด้วยคุณสมบัติของหมอน และบริการหลังการขายที่ดีซึ่งลูกค้าให้ความไว้วางใจ ตนจึงมีแนวคิดที่จะเพิ่มฟังก์ชันลงไปในหมอนให้เป็นหมอนที่ไม่ธรรมดา เพราะวันหนึ่งทุกคนจะต้องใช้เวลาอยู่บนหมอนกว่า 8 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นควรจะต้องได้อะไรที่มากกว่าการนอน ไม่ใช่มีคุณสมบัติแค่นอนดี หนุนคอสบายแล้วจบ โดยวันหนึ่งได้ดูรูปของลูกตอนที่คลอด ซึ่งทำให้มองย้อนกลับว่าเมื่อตอนอยู่ในครรภ์มารดา ผิวของเด็กจะมีนํ้าครํ่าที่ห่อหุ้ม และมีมอยส์เจอไรซ์มาก เวลาที่คลอดออกมาจึงเป็นผิวที่ดีที่สุด คือ นุ่ม มีสีชมพู และเนียน แต่หลังจากนั้นจะก้านไปตามกาลเวลา ต้องใช้ครีมบำรุงรักษา
ค้นหาวัตถุดิบที่จะนำมาเป็นส่วนประกอบของหมอนจนทำให้ได้พบกับสาร ที่เรียกว่าคอลลาเจน (Collagen) โดยเลือกใช้สารสกัดที่ได้จากปลามิลค์ฟิช (Milkfish) จากไต้หวันซึ่งเป็นปลาทะเล นํ้าลึกที่เป็นธรรมชาติล้วน โดยปลอดภัยแม้กระทั่งการใช้กับผิวเด็ก โดยนำมาทำเป็นเส้นใยฟิลาเจน (FILAGEN) ที่มีส่วนผสมของคอลลาเจน”
อย่างไรก็ตาม เมื่อได้คอลลาเจน แบบที่ต้องการแล้ว ตนจึงมานั่งคิดอีกว่าในยามที่ทารกแรกเกิด ไม่ว่าครอบครัวนั้นจะมีฐานะยากจนหรือรํ่ารวย หรืออยู่ที่ประเทศใดผ้าผืนแรกที่สัมผัสชีวิตที่ลืมตาออกมาดูโลกก็คือผ้าคอตตอน (Cotton) เพราะเป็นเส้นใยจากธรรมชาติ และได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่าบอบบางและปกป้องเด็กได้ดีที่สุด เพราะฉะนั้นหากต้องการจะย้อนเวลากลับไปทั้งหมด จึงน่าที่จะนำผ้าคอตตอนผสมกับคอล ลาเจนแล้วถักทอออกมาให้เป็นผ้าหรือนำไปอยู่ในหมอน
คอลลาเจนบนเครื่องนอน
คมศานต์ บอกต่อไปอีกว่า คอตตอนที่บริษัทเลือกใช้ เป็นคอตตอนจากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือว่าเป็นคอตตอนที่ดีที่สุด โดยนำมาถักทอร่วมกับเส้นใยฟิลาเจนซึ่งมีจำนวนเส้นด้ายอยู่ 1,200 เส้นเรียกได้ว่ามีความละเอียดที่สุดในวงการผ้าคอตตอนโดยนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์อย่างปลอกหมอน, ผ้าปูที่นอน, ปลอกผ้านวม และหมอน ภายใต้แบรนด์ “ลักษณ์ชัวรี่ คอตตอน คอลลาเจน” (LUXURY COTTON COLLAGEN)
“ลักษณ์ชัวรี่ คอตตอน คอลลาเจน” นั้น อยู่ที่นวัตกรรมที่นำมาใช้ ซึ่งจะช่วยลดการสูญเสียความชุ่มชื้นของผิวในเวลานอน เนื่องจากส่วนใหญ่จะนอนในห้องแอร์ทำให้ผิวแห้ง รวมถึงเรื่องของการกำจัดกลิ่น เพราะผ้าปูที่นอนจะไม่ได้ถูกเปลี่ยนบ่อยเหมือนกับเสื้อผ้าทำให้เกิดการสะสมของสิ่งสกปรก แต่คอลลาเจนจะทำหน้าที่ทำความสะอาดให้ผ้าใหม่อยู่เสมอ นอกจากนี้ ยังสามารถช่วยป้องกันรังสียูวี (UV) ที่เกิดจากโทรศัพท์มือถือ นีออน โทรทัศน์ ฯลฯ ได้ถึง 97.7% อีกทั้งคอลลาเจนยังมีคุณสมบัติอยู่แบบถาวร และเมื่อยิ่งซักผ้าก็จะยิ่งนุ่มขึ้นจากคุณสมบัติของคอตตอน
“นี่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยปกป้องผู้นอน ซึ่งผู้ใช้อาจจะไม่ได้คำนึงถึง ฟังก์ชันทั้งที่เป็นสิ่งที่ต้องใช้งาน และจะดีกว่าไหมหากซื้อผลิตภัณฑ์แล้วสามารถดูแลตัวเอง หรือได้มากกว่าแค่การนอนหลับ เสมือนเป็นด่านสุดท้ายที่ดูแลระหว่างนอน โดยตามปกติผิวจะสูญเสียมอยส์เจอไรเซอร์ไปจากการระเหย แต่คอลลาเจนจะช่วยดักจับให้เข้ามาอยู่ที่เส้นใย ดังนั้น เมื่อผู้ใช้ได้สัมผัสจึงเท่ากับได้รับความชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลา” อย่างไรก็ตาม ในอนาคตแบรนด์จะนำเสนอผลิตภัณฑ์เสริมประเภทอื่นเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นผ้าเช็ดตัวคอลลาเจน ซึ่งจะช่วยเรื่องความชุ่มชื้นไม่ใช่เพียงแค่ซับนํ้าได้ดี รวมไปถึงผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดผม หมอนรองคอ รองเท้าสลิปเปอร์ และแม้กระทั่งผ้าผิดตา
การเข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย
คมศานต์ บอกอีกว่า เบื้องต้นจะมุ่งเน้นการทำตลาดที่ปลอกหมอน เพราะสามารถเปลี่ยนได้ง่ายที่สุด และไม่ต้องการเป็นศัตรูกับหมอนของผู้บริโภคทุกบ้าน แต่หากผู้บริโภคต้องการแบบทั้งหมดแบรนด์ก็มีผลิตภัณฑ์เพื่อรองรับ โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมายคือทุกกลุ่มที่ใช้ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเครื่องนอน กลุ่มที่ต้องการฟังก์ชันเพิ่มเติมจากนวัตกรรมใหม่ ซึ่งไม่ใช่การปกป้องจากการรับประทานและทา โดยเลือกกำหนดราคาให้สามารถเข้าถึงได้ตั้งแต่กลุ่มผู้บริโภคระดับล่างไปจนถึงระดับบน เพราะต้องการให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่จับต้องได้ ส่วนช่องทางการจำหน่ายจะเน้นที่การออกงานแสดงสินค้า ห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตีมอลล์ อาคารสำนักงาน คอน โดมิเนียม และสถานเสริมความงามต่างๆ
นอกจากนี้ บริษัทยังได้ทุ่มงบประมาณกว่า 20 ล้านบาท เพื่อเจาะตลาดทางด้านออนไลน์โดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งทีมงานทางด้านออนไลน์ การซื้อสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ออนไลน์ทุกแขนง อีกทั้งยังมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในรูปแบบของแฟชั่นโชว์ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์วันที่ 3 ตุลาคม 2561 โดยมีนางแบบนายแบบชั้นนำอย่าง
และโป๊ป-ธนวรรธน์ มาร่วมเดินแฟชั่นชุดเครื่องนอนครั้งแรกในประเทศ ไทย ซึ่งจะมีสไตลิสต์อันดับต้นของประเทศมาออกแบบเครื่องแต่งกายที่ทำมาจากผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ เพื่อเป็นการสร้างการรับรู้ และช่วยให้ตัวแทนจำหน่ายของแบรนด์ทำงานได้สะดวกมากขึ้น
“ในต่างประเทศบริษัทก็ได้มีการจดเครื่องหมายการค้าไว้เช่นเดียวกัน แต่จะยังไม่ทำตลาดในระยะแรก เพราะต้องการให้คนไทยได้ใช้ก่อน โดยไม่ว่าจะเป็นที่ประเทศไทย หรือต่างประเทศผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ก็ถือว่าเป็นเจ้าแรกทั้งหมด ทั้งหมวดเครื่องนอนและเส้นใย”
เป้า 2 พันล้านบาท
คมศานต์ บอกอีกว่า จากกลยุทธ์ในการทำตลาดดังกล่าวเชื่อว่าจะทำให้บริษัทมียอดขายอยู่ที่ประมาณ 2 พันล้านบาทภายในปี 2562 ส่วนหลักคิดในการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จนั้น มองว่าอยู่ที่มูลค่าของผลิตภัณฑ์ที่ผู้บริโภคจะได้รับกลับไป ซึ่งจะต้องมากกว่าราคาที่จ่ายออกมา โดยการทำธุรกิจของตนจะไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะขายได้กี่บาท หรือได้กำไรเท่าไหร่ แต่จะทำอย่างไรให้สามารถขายได้ก่อน หลังจากนั้นกำไรก็จะตามมาเอง