“ข้อตกลงเชิงกลยุทธ์เพื่อร่วมกันพัฒนาห้องพักกว่า 1,200 ห้อง สำหรับโรงแรมทั้งสามแห่งในกรุงเทพฯและพัทยา”
“IHG Hotels & Resorts” หนึ่งในผู้นำด้านธุรกิจโรงแรมระดับโลก มีความภาคภูมิใจที่จะประกาศลงนามสัญญาฉบับใหม่ สำหรับโรงแรมทั้ง 3 แห่งในประเทศไทย กับพันธมิตร Asset World Corporation (AWC) ผู้นำด้านอสังหาริมทรัพย์ ด้านไลฟ์สไตล์ครบวงจร โดยข้อตกลงประกอบไปด้วย โรงแรมแห่งใหม่ อินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ ไชน่าทาวน์ ซึ่งเป็นโรงแรมแนว Luxury แห่งแรกในย่านไชน่าทาวน์ และอีกสองโครงการที่จะสร้างในย่านไชน่าทาวน์และพัทยา ซึ่งรวมแล้วกว่า 629 ห้องพัก
นายราจิต สุขุมารัน กรรมการบริหาร อินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเต็ลส์ กรุ๊ป (ไอเอชจี) ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเกาหลี กล่าวว่า “พวกเรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่จะได้ร่วมงานกับพันธมิตรที่ร่วมมือกันมาอย่างยาวนานอย่าง Asset World Corporation เพื่อเปิดตัวโรงแรมที่มีลักษณะโดดเด่นทั้ง 3 แห่งนี้ ทั้งในกรุงเทพฯ และพัทยา พร้อมกันนี้ พวกเขายังพร้อมที่จะส่งมอบประสบการณ์สุดพิเศษให้กับแขกผู้เข้าพักของเรา ด้วยบริการต่างๆ ที่หรูหราและมีสไตล์”
“สำหรับ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ ไชน่าทาวน์ นี้ จะเป็นโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัลแห่งที่สามในกรุงเทพฯ ตั้งบนทำเลยอดเยี่ยมอย่าง เวิ้งนาครเขษม หนึ่งในย่านที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงเทพฯ ในขณะเดียวกันเรากำลังหารือล่วงหน้ากับ AWC ในส่วนของตำแหน่งทางการตลาดสำหรับสองโรงแรมแห่งใหม่ที่อยู่ภายใต้ข้อตกลงของเรา ทั้งในกรุงเทพฯ และ พัทยา”
“โดยมีแผนที่จะขยายพอร์ตโฟลิโอในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอีกเป็นสองเท่าตัว ในอีก 3-5ปีข้างหน้า และ การลงนามในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงทิศทางการเติบโตที่แข็งแกร่งของ IHG ในประเทศไทย และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราตั้งตารอที่จะได้ร่วมมือกับ AWC อย่างใกล้ชิด เพื่อต่อยอดความหลากหลายของโรงแรมที่พัก กิจกรรมด้านไลฟ์สไตล์ รวมไปถึงการขยายครอบครัวแบรนด์ IHG ของเรา ไปทั้งในเมืองใหญ่ และเมืองตากอากาศชั้นนำ ในประเทศที่มหัศจรรย์อย่างประเทศไทยนี้”
นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) (AWC) กล่าวเพิ่มเติมว่า“AWC ยังคงเชื่อมั่นในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยและเดินหน้าลงทุนสร้างโครงการคุณภาพเสริมความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย
“การขยายความร่วมมือของเรากับ IHG ในครั้งนี้ นับเป็นการเพิ่มความหลากหลายให้กับพอร์ตด้านธุรกิจโรงแรมและการบริการของเรา ซึ่งมีส่วนช่วยให้เราสามารถส่งมอบประสบการณ์ที่น่าประทับใจ เพื่อตอบ สนองต่อความต้องการของลูกค้าได้หลากหลายกลุ่มมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการขยายฐานลูกค้าของการท่องเที่ยวไทย ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะสามารถตอบโจทย์นักท่องเที่ยวจากทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับการเลือกสรรการบริการที่ได้มาตรฐานระดับนานาชาติได้”
“ทั้งนี้ยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้ร่วมมือกับ IHG Hotels & Resorts ผู้ที่มีวิสัยทัศน์เดียวกันกับเรา ในการนำเอาแนวคิดจุดหมายปลายทางระดับโลก มาสู่ประเทศไทย การลงนามสัญญาข้อตกลงกับพาร์ทเนอร์ระดับโลกในครั้งนี้ สอดคล้องกับแผนพัฒนาคุณภาพและวิสัยทัศน์ในการสร้างความยั่งยืนเพื่อการเติบโตในอนาคตของเราด้วยเช่นกัน การร่วมมือในครั้งนี้ยังเป็นการตอกย้ำความเชื่อมั่น ว่าเราพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่ง ในการยกระดับการท่องเที่ยวไทย โดยโครงการเหล่านี้ของเรา นำเสนอการออกแบบสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น ควบคู่ไปกับประสบการณ์ที่น่าประทับใจ พร้อมทั้งสร้างคุณค่าให้กับชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อมโดยรอบอีกด้วย” คุณวัลลภากล่าวเพิ่มเติม
“เนื่องจากเป็นการพัฒนาโรงแรมแนว Luxury แห่งแรกในย่านไชน่าทาวน์ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ ไชน่าทาวน์นี้ จะกลายเป็นจุดแลนด์มาร์คแห่งใหม่ ในกรุงเทพฯทันที เช่นเดียวกันกับอีกโรงแรมของเราในย่านไชน่าทาวน์ ที่จะยกระดับการพัฒนาโครงการมิกซ์ยูส เพื่อมอบประสบการณ์และไลฟ์สไตล์ที่น่าประทับใจให้กับแขกผู้เข้าพักของเรา
โดยโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ ไชน่าทาวน์ ซึ่งมีห้องพักกว่า 332 ห้องนั้น มีกำหนดการจะเปิดบริการ ในปี 2569 โดยโรงแรมถูกตั้งอยู่อย่างกลมกลืนท่ามกลางย่านประวัติศาสตร์อย่างเวิ้งนาครเขษม ซึ่งจะประกอบไปด้วย โรงแรมจำนวน 2 แห่ง โครงการที่พักอาศัย และห้างสรรพสินค้า รวมไปถึง ศูนย์อาหาร ตลอด 24 ชั่วโมง บนถนนเจริญกรุง
อย่างไรก็ดีนับเป็นการผสมผสานแบรนด์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก เข้ากับความมหัศจรรย์ของวัฒนธรรมท้องถิ่น โดยโรงแรมแห่งนี้ จะประกอบด้วยห้องอาหารและบาร์ จำนวน 3 แห่ง รวมไปถึงสระว่ายน้ำ ฟิตเนส และพื้นที่อเนกประสงค์ ที่มีความกว้างถึง 1,400 ตารางเมตร เพื่อรองรับการจัดอีเว้นท์ และห้องประชุมส่วนตัวอีก 8 ห้อง
ทั้งนี้การพัฒนาโครงการแบบมิกซ์ยูส (Mixed-Use) นี้ ยังช่วยเสริมให้กับโรงแรมแห่งที่สองที่อยู่ภายข้อตกลงดังกล่าวเช่นกัน โดยโรงแรมแห่งที่สองนั้น เป็นโรงแรมแนวไลฟ์สไตล์-บูติค ซึ่งมีจำนวนห้องพักทั้งหมด 63 ห้อง โดยโรงแรมดัดแปลงมาจากอาคารพาณิชย์แบบดั้งเดิม ขนาดสี่ชั้น ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อมอบประสบการณ์การเข้าพักที่มีสไตล์อย่างแท้จริง ให้กับนักท่องเที่ยวผู้มาเยือน “เมืองมรดกแห่งเอเชีย”
โดยนักท่องเที่ยวสามารถเพลิดเพลินไปกับร้านค้าปลีกใต้ดิน ที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ เส้นทางมรดกมรดกทางประวัติศาสตร์ และถนนแห่งความบันเทิง ที่มีพื้นที่สำหรับการเฉลิมฉลองเทศกาล รวมไปถึงการแสดงต่างๆทางวัฒนธรรม สถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งใหม่ อย่างเจดีย์ทองคำ ที่กำลังอยู่ในแผนพัฒนา เช่นเดียวกันกับการก่อสร้างประตูทางเข้า เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวสู่เมืองที่สะท้อนคุณค่าแห่งประวัติศาสตร์
ทั้งนี้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางสู่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นพระบรมมหาราชวัง หรือแหล่งช้อปปิ้งย่านสาทรและสีลมได้อย่างสะดวกสบายในระยะเวลาอันสั้น โดยนับเป็นส่วนหนึ่งของการคุณค่าเวิ้งนาครเขษมที่จะสร้างเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของย่านไชน่าทาวน์ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่นักท่องเที่ยวต้องมาเยือน
นอกจากนี้ อีกหนึ่งโรงแรมสไตล์บูติคภายใต้ข้อตกลงนี้ มีแผนจะเปิดให้บริการในช่วงต้นปี 2567 โดยโรงแรมตั้งอยู่ในโครงการ อควอทีค (Aquatique) คอมเพล็กซ์แห่งไลฟ์สไตล์และความบันเทิงแห่งแรกในพัทยา ซึ่งประกอบไปด้วยโรงแรม ห้างร้าน ร้านอาหาร และพื้นที่จัดการประชุม ซึ่งภายในโรงแรม ประกอบไปด้วยห้องพักและห้องสวีท 234 ห้อง ห้องอาหาร รูฟท็อปบาร์ สระว่ายน้ำ สปา และห้องประชุม รวมพื้นที่กว่า 670 ตารางเมตร
สำหรับการลงนามสัญญาทั้ง 3 ฉบับนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการเป็นพันธมิตรระยะยาวระหว่าง IHG และ AWC ในการจัดการพอร์ตโฟลิโอของโรงแรมในเครือ กว่า 1,200 ห้อง ในประเทศไทย รวมไปถึง อีก 306 ห้องพัก จากโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง ที่กำลังจะเปิดบริการในปี 2565 อีกด้วย IHG และ AWC กำลังมองหาโอกาสใหม่ๆสำหรับ คิมป์ตัน แบรนด์โรงแรมที่โดดเด่นในด้านของการออกแบบ รวมไปถึงห้องอาหารและบาร์ ที่ได้รับความนิยม เพื่อสร้างบนทำเลที่พักตากอากาศชั้นนำในประเทศไทยต่อไป
ทั้งนี้ประเทศไทยยังคงเป็นตลาดที่มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง สำหรับ IHG ด้วยโรงแรมกว่า 32 แห่ง จากทั้ง 8 แบรนด์ ในประเทศไทย รวมไปถึงอีก 33 แห่งที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ สำหรับการลงนามสัญญาครั้งใหม่นี้ เป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายของบริษัท ที่ต้องการขยายการเติบโตในฝั่ง Luxury & Lifestyle ในประเทศไทย ให้เติบโตขึ้น 50% รวมไปถึงอสังหาริมทรัพย์ จากทุกแบรนด์ในประเทศไทย